“สิงห์ เอสเตท” ตอกย้ำการเป็นผู้นำ Premier Lifestyle Developer เผยธุรกิจคอมเมอร์เชียลในกรุงเทพมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี จากแผนการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนของรัฐบาล พร้อมประกาศเดินหน้าพัฒนาโครงการคอมเมอร์เชียลอีกกว่า 170,000 ตร.ม. ด้วยงบลงทุนกว่า 15,000 ล้านบาท ชูกลยุทธ์เติบโตแบบยั่งยืน (Sustainable growth) เน้นการเลือกทำเลที่มีศักยภาพมีโอกาสเติบโตสูง นำเสนอไลฟ์สไตล์ประสบการณ์ใหม่ สร้างคุณค่าที่ยั่งยืนแก่สังคมและสิ่งแวดล้อม
นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ “S” กล่าวถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจด้านคอมเมอร์เชียลของ สิงห์ เอสเตท ว่า บริษัทฯ วางแผนธุรกิจด้านคอมเมอร์เชียล 5 ปี เจาะตลาดพรีเมียม หลังจากโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ เดอะ ลักชัวรี มิกซ์ ยูส ประสบความสำเร็จและมีการเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ปัจจุบันเทรนด์ธุรกิจมิกซ์ยูสในกรุงเทพมหานครมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง ปัจจัยสำคัญมาจากการขยายก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนของรัฐบาล ทำให้เกิดการพัฒนายกระดับหลายพื้นที่สู่การเป็นย่านธุรกิจ พาณิชยกรรม และที่พักอาศัยใหม่ๆ ซึ่งความท้าทายที่สำคัญคือการสร้างเมืองที่ทำให้ผู้อยู่อาศัยมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน การพัฒนาโครงการในปัจจุบันจะมุ่งเน้นเรื่องการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การนำสมาร์ทเทคโนโลยีมาอำนวยความสะดวก แต่สิ่งที่ควรจะพิจารณาเพิ่มเข้ามาคือ การผสมผสานชีวิตความเป็นอยู่ วัฒนธรรมดั้งเดิมของชุมชนเข้ามา ซึ่งจะทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีเสน่ห์ มีอัตลักษณ์ ที่จะสามารถดึงดูดทุกคนเข้ามา ทำให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
“สำหรับ สิงห์ เอสเตท ธุรกิจด้านคอมเมอร์เชียล มีความสำคัญในการสร้างการเติบโตในระยะยาวให้กับสิงห์ เอสเตท เนื่องจากสามารถสร้างรายได้ประจำที่มั่นคง (recurring income) โดยบริษัทฯ จะขยายธุรกิจผ่านการพัฒนาโครงการใหม่ และการเข้าลงทุน(M&A) เมื่อสินทรัพย์มีการเติบโตถึงระดับที่เหมาะสม เราสามารถนำทรัพย์สินเหล่านี้ ขายเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า (REIT) เพื่อระดมเงินทุนสำหรับรองรับโอกาสทางธุรกิจในอนาคต ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นธุรกิจนี้ยังเป็นธุรกิจที่จะมีส่วนในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีและไลฟ์สไตล์ใหม่ๆให้กับทุกคน รวมถึงด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) ที่สังคมและชุมชนรอบข้างสามารถมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตลอดจนวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชุมชนร่วมกัน” นายนริศกล่าว
บริษัทฯ นำแนวคิด Premier Lifestyle Developer ในการพัฒนาธุรกิจคอมเมอร์เชียลเพื่อนำเสนอไลฟ์สไตล์ประสบการณ์ใหม่ในทุกมิติ นอกเหนือจากการพัฒนาโครงการในทำเลศักยภาพ การออกแบบและจัดสรรพื้นที่อย่างพิถีพิถัน การสรรหาร้านค้าที่ดีตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพียบพร้อมแล้ว สิ่งที่บริษัทฯ จะสร้างความโดดเด่นและแตกต่าง จะมีใน 3 มิติ โดยมิติแรก คือ การดูแลสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้างผ่านการพัฒนาอย่างยั่งยืน อาทิ การรักษาต้นไม้ใหญ่ในพื้นที่เดิม (Urban Sanctuary) ของโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ การก่อสร้างและบริหารอาคารแบบประหยัดพลังงานตามมาตรฐานสากล (Energy Saving) การให้องค์ความรู้บริหารจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพผ่านโครงการ Sea You Tomorrow ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการสร้างขยะทะเล (Marine Debris) จากขยะในเมืองได้เป็นอย่างดี
มิติที่ 2 การให้บริการและการประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ผ่านการผสมผสานระหว่าง Human Touch และ SMART Technology อย่างลงตัว โดยบริษัทฯ มีการลงทุนใน Smart Technology ที่เหมาะสม ใช้งานได้สะดวกในชีวิตจริง สามารถดูแลบำรุงรักษาและพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อผสานกับทีมบุคลากรที่พร้อมให้บริการอย่างเอาใจใส่ ดูแลลูกค้าอย่างเป็นมิตร จะทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจและได้รับความสะดวกสบาย จากบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ สำหรับโครงการ สิงห์ คอมเพล็กซ์ ได้มีการพัฒนาแอพพลิเคชั่น S Life สำหรับผู้ใช้อาคาร สิงห์ คอมเพล็กซ์ ซึ่งสร้างประสบการณ์ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ เช่น การเข้าออกประตูที่กั้นลิฟต์ การจ่ายเงินในศูนย์อาหาร foodPLACE ด้วยระบบ QR code และบริการ Super Wifi ความเร็วสูงถึง 1GB/sec
ในมิติที่ 3 การสร้างสังคมที่มีความสุข Sharing Community มีการแบ่งปัน เกื้อกูล และเคารพวัฒนธรรมท้องถิ่นของชุมชนที่อยู่มาแต่เดิม ดึงให้ชุมชนได้มามีส่วนร่วมกับโครงการด้านความยั่งยืนของบริษัทฯ การผสมผสานวิถีชีวิตใหม่กับวิถีดั้งเดิมทําให้โครงการมีเสน่ห์และอัตลักษณ์ที่จะดึงดูดคนจากที่ต่าง ๆ ให้เข้ามา เช่น แอมฟิเธียร์เตอร์ในโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ ที่สร้างขึ้นเพื่อให้ชุมชนรอบข้างสามารถเข้ามาใช้พื้นที่ทำงาน หรือทำกิจกรรมด้านศิลปะต่างๆ ร่วมกัน
“สำหรับ สิงห์ เอสเตท ปัจจุบันได้มีแผนการพัฒนาโครงการมิกส์ยูสโครงการใหม่ที่ใช้ชื่อโค้ดเนมว่า Oasis บนถนนวิภาวดี-รังสิต มูลค่า 3,695 ล้านบาท บนถนนวิภาวดี-รังสิต โดยโครงการฯ มีความสูงของอาคารสำนักงานทั้งสิ้น 36 ชั้น โดยมีพื้นที่ให้เช่า (NLA) ประมาณ 53,000 ตารางเมตร แบ่งออกเป็นพื้นที่สำนักงาน และ พื้นที่ค้าปลีกบางส่วน ทั้งนี้ จะใช้เวลาในการพัฒนาโครงการประมาณ 3 ปีนับตั้งแต่ต้นปี 2562 รวมถึงโครงการครอสโร้ด ที่ประเทศมัลดีฟส์ ส่วนในภาพรวมธุรกิจคอมเมอร์เชียลของบริษัทฯ ได้วางงบลงทุนไว้ประมาณ 15,000 ล้านบาทสำหรับ 5 ปี (2019-2023) จากปัจจุบันที่เรามีพื้นที่ให้เช่าจากอาคารซันทาวเวอร์ส และสิงห์ คอมเพล็กซ์ อยู่ประมาณ 130,000 ตร.ม. ตั้งเป้าอีก 5 ปีจะมีพื้นที่ทั้งหมด 300,000 ตร.ม. เพิ่มขึ้นอีก 170,000 ตร.ม. ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจหลักที่สิงห์ เอสเตทให้ความสำคัญ” คุณนริศ กล่าวทิ้งท้าย