ต้องพึ่งหนังดิจิตอล 3D

เป็นเรื่องน่าปวดใจไม่น้อยสำหรับทั้งคนสร้างภาพยนตร์และเจ้าของโรงภาพยนตร์ที่มีพวก Prirate ตามหลอกหลอนมานาน รายได้ที่ควรจะได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยกับเงินลงทุนนับสิบนับร้อยล้านบาท กลับต้องสูญเสียให้กับแผ่นผีที่ฉวยโอกาส รวมถึงมหกรรมโหลดบิทนานาชาติที่เฟื่องฟูพร้อมๆ กับไฮสปีดอินเทอร์เน็ต วันนี้อุตสาหกรรมภาพยนตร์และโรงภาพยนตร์มีทางออกที่ชัดเจน

โรงภาพยนตร์ 3D Digital เป็นเทรนด์ของฮอลลีวู้ดที่ค่ายหนังส่วนใหญ่ต่างหันมาลงทุนสร้างภาพยนตร์ในระบบนี้ด้วยกันทั้งสิ้น ไหนๆ ก็เป็นโรงภาพยนตร์รายแรกที่นำระบบฉายภาพยนตร์ Dolby 3D Digital มาใช้ในเมืองไทย โดยเปิดตัวกับภาพยนตร์ Beowulf เมื่อปลายปี 2550 และเล็งเห็นสัญญาณจากการตอบรับที่ดี

ขณะที่ IMAX เป็นระบบอะนาล็อก ใช้ฉายใน Theme Park หรือ Play Park ในระยะเวลาสั้นๆราว 15 นาที ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับการนำมาฉายภาพยนตร์มีความยาว 2 ชั่วโมง

สุวิทย์ ทองร่มโพธิ์ กรรมการผู้จัดการ โรงภาพยนตร์ในเครือเอสเอฟ บอกว่า การลงทุนเพิ่ม 60 ล้านบาท สำหรับโรงภาพยนตร์ระบบ Dolby 3D Digital ครั้งนี้จะทำให้ SF ทั้ง 12 สาขา รองรับภาพยนตร์ 3D ได้ สาขาละ 1 โรง เพื่อรองรับจำนวนภาพยนตร์ 3D ที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ทุกค่ายกำลังตื่นเต้นกับรายได้ของหนัง 3D มีหนัง 3D ที่กำลังอยู่ในระหว่างถ่ายทำที่ฮอลลีวู้ดตอนนี้ 24 เรื่อง และที่จะเข้าฉายในปี 2553 มีอยู่ 15-20 เรื่อง ส่วนใหญ่จะเป็นหนังที่ต้องโชว์เทคนิค ทั้งไซไฟ แอคชั่น และทริลเลอร์ จากก่อนหน้าในปี 2551 มี 5 เรื่อง และปี 2552 นี้ มี 7 เรื่อง จากจำนวนหนังที่เข้าฉายทั้งหมด 200 เรื่อง”

ปัจจุบันหากพิจารณาเฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่า ทั้งอุตสาหกรรมมีโรงภาพยนตร์ที่สามารถรองรับระบบ 3D Digital นี้มี 24 โรง โดยอีก 12 โรงเป็นของเครือเมเจอร์ฯ จากจำนวนโรงภาพยนตร์ทั้งหมดประมาณ 400 โรง

สุวิทย์บอกว่ารายได้จากภาพยนตร์ 3D มีรายได้คิดเป็นสัดส่วน 30% ของรายได้รวมภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ ที่ฉายในทุกระบบ

กระนั้น อนวัช องค์วาสิฎฐ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บอกว่า เมเจอร์ยังสนใจใน 3D Digital แต่ไม่ได้มองว่าเป็น Big Move ของอุตสาหกรรม

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เท่ากับการขยายสาขา พยายามจะให้มี 3D Digital ในโลเกชั่นที่จำเป็น แต่บางโลเกชั่นเช่นต่างจังหวัดหรือพื้นที่รอบนอกก็ยังไม่จำเป็น ช่วงนี้สิ่งที่สำคัญก่อนจะไปถึงจุดนั้นคือ การเปลี่ยนผ่านของระบบฟิล์มเข้าสู่ระบบดิจิตอลให้มากขึ้น”

อย่างไรก็ตาม สุวิทย์วิเคราะห์อีกว่า ปัจจัยที่ส่งเสริมให้ตลาดภาพยนตร์ 3D เติบโต คือ ค่ายหนังต่างหันมาลงทุนสร้างหนัง 3D มากขึ้น แม้จะใช้ต้นทุนสูงกว่าปกติ 30% แต่ก็นับว่าคุ้มค่า เพราะค่ายหนังต่างหาทางออกจาก “แผ่นผี” และนี่คือโซลูชั่นที่ดีที่สุด เพราะถึงแม้จะมีการลักลอบถ่าย โหลดบิท และมีแว่นตา 3D แต่ก็ไม่สามารถชมหนัง 3D ขณะเดียวกันก็สามารถจำหน่ายตั๋วได้สูงกว่าปกติเกือบ 2 เท่า

จากนี้ไป ภาพยนตร์3D จะกลายเป็นหัวหอกธุรกิจโรงภาพยนตร์ยุคใหม่ ด้วยค่าตั๋วที่มากกว่าค่าตั๋วปกติถึงเกือบ 2 เท่า ดังกล่าว กอปรกับความนิยมของคอหนังที่เพิ่มขึ้น เพราะติดใจในคุณภาพของหนังซึ่งมีจุดเด่นที่ความคมชัดของภาพ และภาพเสมือนจริง ได้อรรถรสเหมือนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในหนัง

ในอนาคตอันใกล้ตั๋วภาพยนตร์ 3D น่าจะมีราคาต่ำลงกว่านี้หากมีการลงทุนจากค่ายอื่นๆ มากขึ้น หรือกล่าวได้ว่าเมื่อทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้รับการพัฒนามากขึ้นนั่นเอง

Did you know?

ระบบหนัง 3D ช่วยทำให้ทุกที่นั่งในโรงภาพยนตร์สามารถชมภาพยนตร์ได้โดยชัดเจน และไม่เกิดการเมื่อยล้าของสายตาด้วยแว่นพิเศษ และคุณภาพที่คมชัดและสีที่มากกว่าระบบฟิล์ม 8 เท่า