ท่ามกลางความท้าทายทั้งสภาวะเศรษฐกิจ และช่องทางขายผ่านออนไลน์ มาดูกันว่าค้าปลีกของไทยปี 2562 จะเป็นอย่างไร? เมื่อสมาคมผู้ค้าปลีกไทยได้ประเมินไว้ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2561 เติบโตราว 4.0-4.2% แต่พบว่าภาคค้าปลีกเติบโตเพียง 3.1% จากการชะลอตัวช่วงไตรมาสที่ 3-4 ขณะที่การค้าปลีกค้าส่งมีสัดส่วนจีดีพี ด้านการผลิต 16.1% เป็นอันดับ 2 รองลงมาจากภาคอุตสาหกรรม
การขยายตัวของภาคค้าปลีกค้าส่ง จึงมีความสำคัญต่อการจ้างงานที่คิดเป็น 16% ของการจ้างงานทั้งประเทศ ช่วง 20 ปีที่ผ่านมาภาคค้าปลีกลงทุนต่อเนื่อง พบว่า ปี 2559-2561 กลุ่มโมเดิร์น เชน สโตร์ ลงทุนรวม 130,200 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 43,400 ล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงานกว่า 210,000 คนต่อปี และการจ้างงานทางอ้อมอีกกว่า 150,000 คน
วรวุฒิ อุ่นใจ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า แนวโน้มค้าปลีกไทยเติบโตต่ำมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 2557 และมีทิศทาง “ทรงตัว” ในปีนี้ หากเป็นเช่นสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้ค้าปลีกไม่สามารถรักษาระดับการลงทุนเหมือนที่ผ่านมา
โดยเป็นผลมาจากตัวแปรเศรษฐกิจปี 2562 ที่พบว่าตัวเลขจีพีพี ปี 2562 ทุกสถาบันต่างเห็นตรงกันว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในแบบชะลอจากปีก่อน นอกจากนี้ยังมีความไม่ชัดเจนของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นรายได้หลักของกลุ่มคนฐานรากกลุ่มใหญ่ของประเทศ จากการคาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรโภคภัณฑ์อาจไม่เพิ่มขึ้นตามทิศทางตลาดโลก แต่อาจมีเพียงข้าวที่ทำรายได้ได้ดีในระดับหนึ่ง
อีกปัจจัยสำคัญ คือ เสถียรภาพทางการเมืองหลังเลือกตั้ง ธุรกิจค้าปลีกคงต้องเฝ้าติดตาม บรรยากาศโดยภาพรวม ซึ่งจะส่งผลเกี่ยวข้องโดยตรงกับการตัดสินใจเดินหน้าการค้าและการลงทุนในปีต่อๆ ไป
กำลังซื้อ “ซึม-ทรง” ค้าปลีกเสี่ยง”
โดยรวมแล้วอุตสาหกรรมค้าปลีกไทยปี 2562 ต้องเผชิญกับกลุ่มฐานผู้บริโภคกลางลงล่าง “ซึม” กลุ่มฐานผู้บริโภคกลางขึ้นบน “ทรง” และทั้งภาคค้าปลีกยังคงต้อง “เสี่ยง” กับความไม่ชัดเจนและความไม่แน่นอน
การคาดการณ์สถานการณ์ค้าปลีกครึ่งปีแรก 2562
อุตสาหกรรมภาคค้าปลีกคงหวังไม่ได้กับ “มาตรการ อั่งเปาช่วยชาติ” ที่จะช่วยกระตุ้นการบริโภคซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะมีการจับจ่ายกว่าแสนล้าน โดยมีผู้บริโภคเข้าร่วมโครงการกว่า 6 ล้านคน แต่ข้อมูลล่าสุดมีผู้เข้าร่วมลงทะเบียนเพียงหลักหมื่นคน ทำให้การจับจ่ายเหลือเพียงประมาณหมื่นล้านบาท เมื่อรวมถึงการเลือกตั้งที่จะมีเงินสะพัดราว 50,000 ล้านบาท ทำให้ครึ่งปีแรกจะมีเงินสะพัดเพียงประมาณ 60,000 ล้านบาท ถือว่าอยู่ค่อนข้างน้อย ดังนั้นภาพรวมค้าปลีกครึ่งปีแรก คงจะไม่เห็นการเติบโตภาคค้าปลีกเพิ่มขึ้นแต่อย่างไร
สำหรับสถานการณ์ครึ่งปีหลัง หากภาครัฐเร่งให้มีการประมูลโครงสร้างพื้นฐานให้ได้ภายในไตรมาสแรก ผลจากการลงทุนนี้จะส่งผลต่อการเติบโตแก่ภาคค้าปลีกในปลายไตรมาส 3 ต่อต้นไตรมาส 4 แต่หากไม่เป็นตามระยะเวลาดังกล่าว ครึ่งปีหลังก็คงจะ “ซึม ถึง ทรุด” ในบางกลุ่มประเภทธุรกิจเซ็กเมนต์
โดยรวมดัชนีค้าปลีกปี 2562 อาจจะทรงตัวหรืออาจจะต่ำกว่าเดิมเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2561 คาดว่า การเติบโตน่าจะอยู่ราว 3.0-3.1% แต่ซึ่งก็ยังต่ำกว่าจีดีพีประเทศ ที่คาดการณ์ว่าน่าจะเติบโตราว 3.5-4.0%
ชง 8 ข้อเสนอกระตุ้นค้าปลีก
ทั้งนี้ สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เสนอ 8 มาตรการ ต่อภาครัฐบาลเพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมค้าปลีกไทยให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง ดังนี้
1. รัฐบาลควรให้ความสำคัญต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมค้าปลีกค้าส่งอย่างจริงจัง เนื่องจากภาคค้าปลีกเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีการจ้างงานอันดับ 1 ของการจ้างงานนอกภาคเกษตร ขณะเดียวกันภาคการบริโภคค้าปลีกค้าส่ง มีสัดส่วนกว่า 55% ของมูลค่าการบริโภคภาคเอกชน
2. เพื่อแก้ไขปัญหาโครงสร้างภาษีที่ถูกบิดเบือน รัฐบาลควรศึกษาและพิจารณาเรื่องการลดภาษีนำเข้าสินค้าแบรนด์หรูอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในกลุ่มแฟชั่น เครื่องสำอาง เครื่องหนัง และนาฬิกาชั้นนำ (Luxury Brand) เพื่อกระตุ้นยอดจับจ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติในเมืองให้เพิ่มขึ้น
3. สร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภคภายในประเทศและผู้บริโภคที่เป็นนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประกาศจัดงาน “Thailand Brand Sale” ระยะเวลา 3 เดือน ช่วงโลว์ซีซันของการท่องเที่ยว หรือช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ลดภาษีนำเข้าสินค้าแบรนด์หรูในกลุ่มแฟชั่น เครื่องสำอาง เครื่องหนัง และนาฬิกา ชั้นนำ (Luxury Brand) เพื่อกระตุ้นยอดจับจ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เพิ่มขึ้น และกระตุ้นการจับจ่ายผู้บริโภคที่ยังมีกำลังซื้ออยู่ให้กลับคืนมา
4. ภาครัฐต้องไม่ปิดกั้นผู้ประกอบการรายอื่นๆ ให้เข้ามาดำเนินธุรกิจร้านค้าปลอดภาษีในสนามบิน และพื้นที่ค้าปลีกนอกสนามบิน เพื่อเปิดแข่งขันเสรีในทุกภาคส่วนในประเทศไทย เพื่อรัฐจะสามารถสร้างรายได้มากขึ้น
5. ปัจจุบันกลุ่มค้าปลีกมีความต้องการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพนักงานรายชั่วโมงที่ไม่สามารถจ้างงานได้เพียงพอ ขณะเดียวกันยังมีกลุ่มที่ขาดรายได้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มบุคคลหลังเกษียณ ที่ไม่มีรายได้ ซึ่งคนกลุ่มนี้ไม่สามารถทำงานได้เต็มเวลา 8 ชั่วโมง จึงเหมาะสมที่จะจ้างกลุ่มดังกล่าวนี้เป็นรายชั่วโมง ภาครัฐจะต้องกำหนดเป็นนโยบายเร่งด่วนผลักดันให้มีการออกกฎระเบียบประกาศค่าจ้างขั้นต่ำเป็นรายชั่วโมง เพื่อให้สามารถจ้างงานบุคคลกลุ่มดังกล่าวได้
6. นโยบายการจ้างงานผู้สูงอายุ ขอให้พิจารณาปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างผู้สูงอายุที่สามารถใช้ลดหย่อนภาษี ปัจจุบันกำหนดไว้ที่ 15,000 บาท เสนอให้พิจารณากรณีค่าจ้างสูงกว่า 15,000 บาท ให้สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุดที่ 15,000 บาท เพราะปัจจุบันหากค่าจ้างสูงกว่า 15,000 บาท จะไม่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้เลย และสามารถจ้างงานเป็นรายชั่วโมงตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายชั่วโมง ตามข้อ 5
7. ภาครัฐต้องสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนในอุตสาหกรรมค้าปลีกค้าส่ง ตลอดจนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและธุรกิจบริการให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาระบบทวิภาคี โดยชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ที่ผู้ประกอบการจะได้รับจากการเข้าร่วมโครงการ และอาจให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น การลดหย่อนภาษีหรือสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกทั้งภาครัฐจะต้องมีมาตรการสนับสนุนการนำคุณวุฒิวิชาชีพมาเป็นมาตรฐานการจ้างงานโดยเริ่มที่การจ้างงานภาครัฐก่อน
8. รัฐต้องมีมาตรการส่งเสริมการค้าชายแดนอย่างชัดเจน โดยพิจารณาผ่อนผันการเปิดด่านต่างๆ การเพิ่มจำนวนด่าน และอำนวยความสะดวก รวมทั้งพิจารณาให้มี VAT Refund for Tourist ในกรณีนักท่องเที่ยวเพื่อนบ้านเดินทางเข้ามาในประเทศไทยโดยใช้เส้นทางบก