-
มีเพียงแค่ 5% ของธุรกิจทั่วโลกที่ได้รับการนิยามให้เป็นผู้นำด้านดิจิทัล (Digital Leaders) ซึ่งบ่งชี้ได้ว่าไม่มีความคืบหน้าด้านการพัฒนาใดๆ มาตั้งแต่ปี 2559
-
ตลาดเกิดใหม่มีการพัฒนาไปในทางที่ดีกว่าตลาดที่พัฒนาแล้ว โดยมี อินเดีย บราซิล และประเทศไทย ที่ได้รับคะแนนความพร้อมด้านดิจิทัลสูงที่สุด
-
78 เปอร์เซ็นต์รายงานว่าการปฏิรูปทางดิจิทัลควรที่จะแผ่ขยายให้ครอบคลุมทั่วทั้งองค์กร
-
51 เปอร์เซ็นต์เชื่อว่าพวกเขาจะพยายามฝ่าฟันเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ในขณะที่หนึ่งในสามของจำนวนนี้มีความกังวลว่าจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังภายในอีก 5 ปี
-
91 เปอร์เซนต์ถูกเหนี่ยวรั้งไว้โดยอุปสรรคต่างๆ อาทิ 1) การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และการรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์ 2) การขาดแคลนงบประมาณและทรัพยากร 3) ทักษะคนทำงานที่ไม่พอเพียง
แม้การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นและเดินหน้าต่อไปโดยไม่หยุดยั้ง แต่ดัชนีชี้วัดการปฏิรูปสู่ดิจิทัลของเดลล์ เทคโนโลยีส์ (Dell Technologies Digital Transformation (DT) Index) ครั้งล่าสุดนี้แสดงให้เห็นว่าแผนงานด้านการปฏิรูปทางดิจิทัลของธุรกิจจำนวนมากยังคงอยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น นี่คือหลักฐานที่ 78 เปอร์เซ็นต์ของผู้นำธุรกิจยออมรับว่าการปฏิรูปทางดิจิทัลควรเป็นการดำเนินการในวงกว้างให้ครอบคลุมทั่วทั้งองค์กร (ประเทศไทย: 90 เปอร์เซ็นต์) ทั้งนี้ มากกว่าครึ่งหนึ่งขององค์กรธุรกิจ (51 เปอร์เซ็นต์) เชื่อว่าพวกเขาจะต้องดิ้นรนเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปภายในระยะเวลา 5 ปี (ประเทศไทย: 71 เปอร์เซนต์) และเกือบหนึ่งในสาม (30 เปอร์เซนต์) ยังคงมีความกังวลว่าองค์กรของตนเองจะถูกทิ้งให้อยู่ข้างหลัง (ประเทศไทย: 33 เปอร์เซ็นต์)
เดลล์ เทคโนโลยีส์ ร่วมมือกับอินเทล และแวนสัน บอร์น (Vanson Bourne) ในการทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้นำธุรกิจจำนวน 4,600 คน ในระดับผู้อำนวยการขึ้นไปจนถึงผู้บริหารในระดับประธานเจ้าหน้าที่ (C-suite) จากบริษัทธุรกิจตั้งแต่ขนาดกลางไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ที่อยู่ทั่วโลกเพื่อประเมินความพยายามในการเปลี่ยนแปลงองค์กรของพวกเขา
การศึกษาเผยให้เห็นว่าตลาดเกิดใหม่คือตลาดที่มีความพร้อมและการเติบโตทางดิจิทัลมากที่สุด โดยมีอินเดีย บราซิล และประเทศไทยอยู่ในรายชื่อของการจัดอันดับในระดับโลก ในทางตรงกันข้าม ตลาดที่พัฒนาแล้วกลับเลื่อนไหลลงไปอยู่ข้างหลัง อาทิ ญี่ปุ่น เดนมาร์ก และฝรั่งเศส ที่มีคะแนนความพร้อมด้านดิจิทัลในระดับต่ำสุด ที่ยิ่งกว่านั้น ตลาดเกิดใหม่ยังมีความมั่นใจมากกว่าในศักยภาพของตัวเองว่าจะสามารถ “เปลี่ยนแปลงตัวเองได้อย่างสิ้นเชิงมากกว่าจะเป็นผู้ที่ถูกเปลี่ยนแปลง” (53 เปอร์เซ็นต์” เมื่อเทียบกับตัวเลขที่ระดับ 40 เปอร์เซ็นต์ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว
เบื้องหลังเส้นกราฟ
งานวิจัย DT Index II สร้างขึ้นต่อยอดจาก DT Index ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในปี 2559 การเปรียบเทียบผลการวิจัยสองปีเน้นให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความคืบหน้าที่เป็นไปอย่างเชื่องช้า พร้อมด้วยการดิ้นรนขององค์กรธุรกิจในการที่ต้องตามก้าวย่างแห่งการเปลี่ยนแปลงให้ทัน ในขณะที่เปอร์เซนต์ของจำนวนของผู้ที่เริ่มก้าวสู่ดิจิทัล (Digital Adopters) เพิ่มจำนวนมากขึ้น ยังคงไม่มีความคืบหน้าในระดับบน เกือบสี่ในสิบ (39 เปอร์เซ็นต์) ของธุรกิจยังคงกระจายตัวอยู่ในสองกลุ่มของผู้ที่มีความพร้อมทางดิจิทัลน้อยที่สุดตามการจัดมาตรฐาน (ผู้ที่ถูกทิ้งให้อยู่ข้างหลังดิจิทัล หรือ Digital Laggards และผู้ตามในเรื่องดิจิทัล หรือDigital Followers)
“ในอนาคตอันใกล้นี้ ทุกองค์กรธุรกิจต่างจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นองค์กรดิจิทัล แต่งานวิจัยของเราชี้ให้เห็นว่าองค์กรธุรกิจส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในการเดินทางอีกยาวไกล” ไมเคิล เดลล์ ประธาน และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เดลล์ เทคโนโลยีส์ กล่าว “องค์กรธุรกิจจำเป็นต้องปรับเทคโนโลยีที่พวกเขาใช้งานให้ทันสมัย เพื่อมีส่วนร่วมในโอกาสที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างการปฏิรูปทางดิจิทัล ถ้าจะลงมือก็ต้องเป็นในตอนนี้เลย”
การเปรียบเทียบเพื่อแบ่งกลุ่ม |
รายละเอียด |
ระดับโลกในปัจจุบัน |
ระดับโลกในปี 2559 |
ประเทศไทยในปัจจุบัน |
ผู้นำด้านดิจิทัล (Digital Leaders) |
มีการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ในหลากหลายรูปแบบ และถูกปลูกฝังอยู่ในดีเอ็นเอของธุรกิจ |
5% |
5% |
7% |
ผู้ที่เริ่มก้าวสู่ดิจิทัล (Digital Adopters) |
มีแผนงานด้านดิจิทัลที่เป็นจริงเป็นจัง มีการลงทุนและมีนวัตกรรมในองค์กร |
23% |
14% |
40% |
ผู้ที่กำลังประเมินดิจิทัล (Digital Evaluators) |
ตอบรับการปฏิรูปสู่ดิจิทัลอย่างระมัดระวัง ค่อยเป็นค่อยไป มีการวางแผนและลงทุนสำหรับอนาคต |
33% |
34% |
25% |
ผู้ตามในเรื่องดิจิทัล (Digital Followers) |
ลงทุนด้านดิจิทัลน้อยมาก เพิ่งเริ่มต้นวางแผนคร่าวๆ สำหรับอนาคต |
30% |
32% |
23% |
ผู้ที่ถูกทิ้งให้อยู่ข้างหลังดิจิทัล (Digital Laggards) |
ไม่มีแผนงานด้านดิจิทัล มีการลงทุนและความริเริ่มที่จำกัดในองค์กร |
9% |
15% |
5% |
อุปสรรคในการปฏิรูปและความมั่นใจ
ผลการสำรวจยังชี้ให้เห็นว่าผู้นำทางธุรกิจต่างกำลังอยู่ในสภาวะของวิกฤตความเชื่อมั่น โดย 91 เปอร์เซ็นต์ถูกเหนี่ยวรั้งไว้ด้วยอุปสรรคเรื้อรังที่มีมายาวนาน
ห้าอันดับอุปสรรคสูงสุดที่มีต่อความสำเร็จของการปฏิรูปสู่ดิจิทัล
-
การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและการรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์ (อันดับ 1 ในประเทศไทย)
-
การขาดงบประมาณและทรัพยากร
-
การขาดทักษะและความเชี่ยวชาญที่เหมาะสมภายในองค์กร (อันดับ 5 ในประเทศไทย)
-
การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบและกฎหมาย (จากอันดับ 9 ในปี 2559)
-
ความไม่สมบูรณ์ของวัฒนธรรมดิจิทัล
เกือบครึ่งหนึ่ง (49 เปอร์เซ็นต์) เชื่อว่าองค์กรของพวกเขาต้องต่อสู้เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นองค์กรที่น่าเชื่อถือภายในอีกห้าปีข้างหน้า เกือบหนึ่งในสาม (32%) ไม่เชื่อว่าองค์กรของตัวเองที่จะปฏิบัติตามกฎระเบียบต่างๆ ได้ (อาทิ กฎระเบียบว่าด้วยการป้องกันข้อมูลทั่วไปของสหภาพยุโรป หรือ EU General Data Protection Regulation) หนึ่งในสามไม่เชื่อถือว่าองค์กรของตนจะปกป้องข้อมูลของพนักงานหรือลูกค้า
แผนงานต่างๆ เพื่ออนาคตดิจิทัลที่เป็นจริง
ผู้นำต่างรายงานถึงการจัดลำดับความสำคัญที่คล้ายคลึงกันและการลงทุนเพื่อช่วยการปฏิรูปในอนาคต รวมไปถึงการใหความสำคัญเพิ่มขึ้นในเรื่องของคนทำงาน (workforce) การรักษาความปลอดภัย (security) และระบบไอที ทั้งนี้ สี่สิบหกเปอร์เซ็นต์กำลังพัฒนาทักษะและความสามารถด้านดิจิทัลภายในองค์กร (in-house) อาทิ ด้วยการสอนพนักงานทุกคนสามารถเขียนโค้ดได้ ซึ่งมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นจากปี 2559 ถึง 27 เปอร์เซ็นต์ (ประเทศไทย: 65%)
อันดับสูงสุดของการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีในอีก 1-3 ปีข้างหน้า
-
การรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์ (Cybersecurity)
-
เทคโนโลยี Internet of Things
-
สภาพแวดล้อมแบบมัลติ–คลาวด์
-
ปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial intelligence
-
แนวการดำเนินงานที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นศูนย์กลาง (compute centric)
การเดินทางขององค์กรธุรกิจจะเป็นอย่างไรในอนาคตจะขึ้นอยู่กับขั้นตอนที่พวกเขาเลือกที่จะเริ่มต้นในวันนี้ ยกตัวอย่าง Draper ซึ่งเป็นลูกค้าของเดลล์ เทคโนโลยีส์ จากที่เคยมุ่งเน้นไปที่แผนกการวิจัยด้านการป้องกัน ปัจจุบันได้เริ่มต้นที่จะมุ่งไปสู่ภาคส่วนที่เป็นเชิงพานิชย์มากขึ้น อาทิ วิทยาศาสตร์ชีวการแพทย์ (biomedical science)
“เทคโนโลยีช่วยให้เราสามารถแก้ปัญหาที่ยากที่สุดในโลกนี้ได้ จากโครงสร้างพื้นฐานและบริการที่สนับสนุนนวัตกรรมของเราไปจนถึงเทคโนโลยีการทดลองที่เราใช้เพื่อป้องกันเชื้อโรคเป็นต้น” ไมค์ โครนส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายสารสนเทศ Draper กล่าว “เราไม่สามารถขยายขอบเขตการทำงานแล้วเรียกตัวเราเองว่าเป็นองค์กรด้านการวิจัยและวิศวกรรมได้โดยไม่ปฏิรูปปรับเปลี่ยนองค์กรให้ทันสมัยจากภายในสู่ภายนอก”