LH Bank เผยกลยุทธ์ปี 62 ผนึกพันธมิตร CTBC Bank เสริมแกร่งรุกขยายฐานลูกค้า Trade Finance ยกระดับบริการ Wealth Management พร้อมตั้งเป้าสินเชื่อโต 6 – 8 % และ LH Fund ยกระดับการเป็นผู้บริหารกองทุนมืออาชีพเพื่อเพิ่มขนาดกองทุนที่บริหารจัดการให้เติบโต 20% สำหรับ LH Securities ยกระดับการให้บริการที่ดี และเพิ่มช่องทางการให้บริการที่สะดวก รวดเร็ว
นางศศิธร พงศธร (ฉัตรศิริวิชัยกุล) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (LHFG) เปิดเผยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของกลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ปี 2562 ว่า ท่ามกลางความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจและการเงินโลก โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่ส่งผลต่อการส่งออกของประเทศ แต่เห็นว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากปัจจัยขับเคลื่อนในประเทศโดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนที่มีแนวโน้มเติบโตดี เช่นเดียวกับการลงทุนภายในประเทศที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น จึงมองว่าเป็นทิศทางที่ดีที่จะช่วยให้ทิศทางการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจทางการเงิน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ในปี 2562 ขยายตัวต่อเนื่อง
ณ สิ้นปี 2561 บริษัทมีสินทรัพย์รวม อยู่ที่ 245,933 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนร้อยละ 5.5 โดยมีโครงสร้างสินเชื่อCorporate : SME : Retail ร้อยละ 76 : 11 : 13 มีสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) อยู่ในระดับต่ำเพียงร้อยละ 1.93 และสินเชื่อที่ค้างชำระตั้งแต่ 30 – 90 วัน (Delinquency) เพียงร้อยละ 0.99 ของสินเชื่อรวม สะท้อนถึงการควบคุมคุณภาพสินเชื่ออยู่ในเกณฑ์ดี อีกทั้งมีเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง มีอัตราส่วนเงินกองทุนรวมและเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ร้อยละ 20.0 และ 17.1 ตามลำดับ
ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ในปี 61 มีกำไรสุทธิ 3,108 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนร้อยละ 19.4 สำหรับเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อปี 2562 อยู่ที่ร้อยละ 6-8 ซึ่งยังคงเน้นที่จะเติบโตอย่างระมัดระวังควบคู่กับการรักษาคุณภาพสินเชื่อ โดยธนาคารจะให้ความสำคัญกับการปรับพอร์ตสินเชื่อให้มีความเหมาะสมเพื่อลดการกระจุกตัว
LH Bank ร่วมกับ CTBC Bank ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ และเป็นธนาคารเอกชนอันดับ 1 ของไต้หวัน มีสินทรัพย์กว่า 4.0 ล้านล้านบาท มีเครือข่ายการให้บริการที่เชื่อมโยงกันถึง 111 แห่ง ครอบคลุมกว่า 14 ประเทศทั่วโลก และมีความเชี่ยวชาญในบริการ Trade Finance บริการ Wealth Management และ Digital Banking ซึ่งได้ร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่จะมาเสริมความแข็งแกร่งและสร้างการเติบโตให้กับกลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์
– การให้บริการ LH Bank Mobile Payment Service สำหรับร้านค้า หรือบริการรับชำระค่าสินค้าและบริการผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยการสแกน QR Code เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้สามารถชำระค่าสินค้าและบริการผ่าน E-Wallet ชั้นนำจากทั่วโลก
– การให้บริการ Trade Finance ซึ่ง CTBC Bank มีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก และมีเครือข่ายสาขาอยู่ ทั่วโลกกว่า 111 แห่งไว้อำนวยความสะดวก โดยมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายทั้งนำเข้าและส่งออกที่ครบวงจร พร้อมการให้บริการที่ดี
นอกจากนี้ ธนาคารได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันภัยคุกคามจากไซเบอร์ Cyber security ซึ่งธนาคารได้ลงทุนพัฒนาระบบ IT security เพื่อรองรับการทำธุรกรรมออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้นให้มีความปลอดภัยยิ่งขึ้น
กลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ได้ปรับภาพลักษณ์ mark Symbolic of CHANGE ภายใต้ คอนเซ็ปต์ “We Are Family” เราคือครอบครัวเดียวกัน พร้อมยกระดับการให้บริการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพ รวมทั้งการปรับพื้นที่บางสาขาให้มี Private Zone, Private Room เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวสำหรับลูกค้า โดยทีมที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคลที่เป็นมืออาชีพ ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบ Wealth Management System เพื่อช่วยในการจัดพอร์ต Asset Allocation ให้สอดคล้องกับคาแรคเตอร์ของลูกค้าแต่ละกลุ่ม แต่ละ Generation เพื่อตอบโจทย์กับความต้องการในการลงทุนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการเพิ่มช่องทางการให้บริการผ่าน Banking Agent ซึ่งจะให้บริการประมาณไตรมาสที่ 2
ด้านนายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (LH Fund) วางเป้าหมายปี 2562 โดยจะขยายขนาดกองทุนภายใต้การบริหารจัดการให้เติบโตอีก 10 – 20% ซึ่งในปีนี้บริษัทจะให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่ค่อยมีใครเข้าถึงมากขึ้น โดยบริษัทได้ร่วมมือกับบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และ Partner ในการสร้างทางเลือกการลงทุนส่วนบุคคลและดึงดูด นักลงทุนรุ่นใหม่ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการภายใต้กลยุทธ์ Asset Allocation ที่กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดีในปีที่ผ่านมา
ภาพรวมผลการดำเนินงานการบริหารจัดการกองทุนในปี 2561 บริษัทมีกองทุนรวมที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการโดยนับรวม Property Fund และ REITs ประมาณ 56,284 ล้านบาท กองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) ประมาณ 7,000 ล้านบาท และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) ประมาณ 2,908 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 3 ธุรกิจ มีอัตราการเติบโตได้ดีกว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยในอุตสาหกรรม ทั้งนี้ LH Fund มีกองทุนที่ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีและยังได้รับการจัดอันดับ 5 ดาวจาก Morningstar (ข้อมูล ณ 31 ธันวาคม 2561) ได้แก่
- กองทุนเปิด แอล เอช เฟล็กซิเบิ้ลเพื่อการเลี้ยงชีพ (LHFLRMF)
- กองทุนเปิด แอล เอช โกรท ชนิดสะสมมูลค่า (LHGROWTH-A)
- กองทุนเปิด แอล เอช โกรท ชนิดจ่ายเงินปันผล (LHGROWTH-D)
- กองทุนเปิด แอล เอช โกรท ชนิดขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ (LHGROWTH-R)
- กองทุนเปิด แอล เอช เอ็ม เอส เฟล็กซิเบิ้ล (LHMSFL)
นายกานต์ อรรถธรรมสุนทร กรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจและการตลาด บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LH Securities) กล่าวถึงแผนธุรกิจในปี 2562 ว่า บริษัทยังคงเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนแบบใหม่ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการให้มีความแตกต่างเพื่อขยายฐานรายได้และเพิ่มความหลากหลายของกลุ่มนักลงทุน นอกจากนี้ยังเน้นการพัฒนาประสิทธิภาพของหน่วยงานสนับสนุน เจ้าหน้าที่ผู้แนะนำการลงทุน และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างต่อเนื่อง และยกระดับการเป็นที่ปรึกษาทางเงินและการลงทุนที่ดี
ปี 2561 มีการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการอันรวดเร็วของเทคโนโลยี การแข่งขันในธุรกิจ รวมทั้งความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงอย่างมาก โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ณ สิ้นปี 2561 ปิดที่ 1,563.88 จุด ลดลงร้อยละ 10.8 จากสิ้นปีก่อน แต่รายได้ค่านายหน้าของบริษัท ยังเติบโตในอัตราร้อยละ 15.3 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีรายได้ค่านายหน้ารวมจำนวน 165.34 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 209.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 104.3 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2560 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 99
“ปี 2562 เราพร้อมทำการตลาดอย่างเต็มที่บนพื้นฐานของความยืดหยุ่นและระมัดระวัง โดยประสานความร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจทางการเงิน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพื่อเติมเต็มผลิตภัณฑ์และบริการให้ครบวงจรมากขึ้น รวมทั้งการพัฒนาระบบสารสนเทศ เพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวกในการใช้บริการ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีและเลือกลงทุนกับเราอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ ธุรกิจหลักทรัพย์มีแนวโน้มต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านเทคโนโลยีที่รุนแรงขึ้น โดยปัจจุบันมีการนำRobot Trade เข้ามาใช้ซื้อขายในลักษณะ High Frequency Trading (HFT) ทำให้สภาพการซื้อขายโดยรวมมีความผันผวนบริษัทจึงเปิดให้บริการ Auto Trade ซึ่งเป็นระบบการส่งคำสั่งอัตโนมัติที่ทางระบบจะเป็นผู้ทำการซื้อขายตามสัญญาณซื้อขายในเงื่อนไขที่ลูกค้ากำหนด ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าส่งคำสั่งซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ชีวิตที่เร่งรีบ และไม่มีเวลาติดตามการลงทุน โดยทั้งหมดนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างประสบการณ์การลงทุนที่ดีให้กับลูกค้า