“โฮมโปร” ตีปีกโชว์รายได้รวมปี 2561 พุ่ง 66,049.98 ล้านบาท กวาดกำไรสุทธิ 5,612.62 ล้านบาท

บมจ. โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ เผยรายได้ผลประกอบการปี 2561 โกยยอดขายรายได้รวม66,049.98 ล้านบาท กำไรสุทธิ 5,612.62 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้น 2.83%  และ 14.86% จากปีก่อน โดยเป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิมของธุรกิจโฮมโปร และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย รวมถึงการเติบโตของยอดขายจากสาขาใหม่ทั้งธุรกิจโฮมโปร เมกา โฮม และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซียที่ได้เปิดดำเนินการตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2560

นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ประจำปี 2561 ว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อย ยังคงมีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวมและกำไรสุทธิเป็นจำนวน  66,049.98 ล้านบาท และ 5,612.62 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้น 2.83%  และ 14.86% จากปีก่อนหน้า ถึงแม้ว่ายอดขายสาขาเดิมยังคงไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ด้วยผลกระทบของฤดูกาล นอกจากนี้ในไตรมาสที่ 4 บริษัทฯ ไม่ได้รับอานิสงค์จากนโยบาย ช้อป ช่วยชาติ เหมือนปีที่ผ่านมา รวมถึงผลกระทบจากโครงการก่อสร้างระบบขนส่งสาธารณะในกรุงเทพฯ ซึ่งก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการเข้ามาจับจ่ายใช้สอยของลูกค้า อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้มีการจัดการโดยการเพิ่มประสิทธิภาพในด้านต่างๆ เช่น ความสามารถในการขยายอัตราการทำกำไรขั้นต้นผ่านการคัดสรรและพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากอย่างยิ่งขึ้น การเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงาน ค่าใช้จ่ายในการบริหารและค่าใช้จ่ายอื่น

ซึ่งปัจจัยที่ทำให้บริษัทฯ มีผลประกอบการเติบโตมาจากรายได้รวม จำนวน  66,049.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,815.42 ล้านบาท หรือ 2.83% ซึ่งมาจากรายได้จากการขาย จำนวน 61,580.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  1,692.66 ล้านบาท หรือ 2.83% โดยเป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิมของธุรกิจ โฮมโปร และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย รวมถึงการเติบโตของยอดขายจากสาขาใหม่ทั้งธุรกิจโฮมโปร   เมกา โฮม และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซียที่ได้เปิดดำเนินการตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2560 ด้วย

นอกจากนี้ โฮมโปร ยังมีรายได้ค่าเช่าและบริการ จำนวน 1,975.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78.59 ล้านบาท หรือ 4.14% มาจากรายได้ค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นจากพื้นที่เช่าภายในศูนย์การค้ามาร์เกต วิลเลจ และพื้นที่ให้เช่าสาขาใหม่ของสาขาโฮมโปร

นายคุณวุฒิ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของรายได้อื่น จำนวน 2,493.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44.17 ล้านบาท หรือ 1.80% มาจากการเติบโตของรายได้ส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้า รวมถึงรายได้จากค่าบริการ“Home Service”

ในส่วนของกำไรขั้นต้นของบริษัทฯ ในปี 2561 จำนวน 16,936.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,098.21 ล้านบาท หรือ 6.93% เมื่อเทียบกับปีก่อน  สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 26.45% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 27.50% โดยเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนของส่วนผสมสินค้ามีไว้เพื่อขายทั้งกลุ่มสินค้าทั่วไป และกลุ่มสินค้า Direct Sourcing รวมถึงการปรับปรุงแผนการจัดซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่องของธุรกิจโฮมโปร

ในปี 2561 บริษัทฯ เปิดสาขาโฮมโปรเพิ่ม 1 แห่ง ที่กัลปพฤกษ์ และ โฮมโปสเอส จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ (1) สาขาพาซิโอ กาญจนภิเษก (2) สาขาบิ๊กซี บางนา (3) สาขามาร์เก็ตเพลส นางลิ้นจี่ (4) สาขาเสนาเฟส เจริญนคร และ (5) สาขาเกตเวย์ แอท บางซื่อ  สำหรับเมกา โฮมและโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซียยังไม่มีการเปิดสาขาใหม่ในปี 2561 แต่ได้มุ่งเน้นปรับปรุงประสิทธิภาพ โดย ณ สิ้นปี บริษัทฯ มีสาขาโฮมโปร 82 สาขา และโฮมโปรเอส 8 สาขา เมกา โฮม 12 สาขา และ โฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย 6 สาขา

นายคุณวุฒิ กล่าวต่ออีกไปว่า ในปี 2561 ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกมีการขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยได้รับแรงกระตุ้นจากการส่งออกและการท่องเที่ยว ในขณะที่ช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจมีแนวโน้มการชะลอลงเนื่องด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงและภาคการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่เกิดขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกา และจีน  รวมถึงผลกระทบจากฤดูกาลที่มีฝนตกอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่ 3 ถึง ไตรมาสที่ 4 ทำให้ลูกค้ามีความลำบากในการเข้าถึงสาขา นอกจากนี้ราคาพืชผลทางการเกษตรยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ และหนี้สินภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามรัฐบาลได้พยายามเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยการออกมาตรการต่างๆ เช่น มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เป็นต้น

ทั้งนี้ บริษัทฯ ขอแสดงความขอบคุณในความทุ่มเท มุ่งมั่น ตั้งใจ มีความรับผิดชอบของบุคลากรในทุกระดับ ตลอดจนการสนับสนุนด้วยดีจากผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนเสมอมา บริษัทฯ เชื่อว่าการเติบโตทางธุรกิจที่ได้สร้างคุณค่าให้กับทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็น ลูกค้า พนักงาน คู่ค้า ผู้ถือหุ้น ตลอดจนชุมชนและสังคม จะเป็นปัจจัยสำคัญหลักที่จะผลักดันให้องค์กรเติบโตไปอย่างยั่งยืน อันจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนด้วยเช่นกัน นายคุณวุฒิ กล่าวปิดท้าย