จับกระแสไอทีปี 2562 กับการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ

นายสุภัค ลายเลิศ กรรมการอำนวยการ และประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท ยิบอินซอย จำกัด

ทุก ๆ สิ้นปี บริษัทที่ปรึกษาและวิจัยชั้นนำของโลก ทั้ง ไอดีซี การ์ทเนอร์ ฟอร์เรสเตอร์ หรือแมคคินซีแอนด์คอมปานี เป็นต้น ต่างออกรายงานคาดการณ์แนวโน้มด้านไอที เพื่อเป็นไอเดียในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน หรือสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจ โดยปีนี้ต่างก็เห็นตรงกันว่า“คลาวด์ คอมพิวติ้ง บิ๊ก ดาต้าและการวิเคราะห์ข้อมูล ไอโอที ปัญญาประดิษฐ์ บล็อกเชน และความปลอดภัยทางไซเบอร์” จะยังคงมีบทบาทสำคัญอย่างน้อยอีก 3-5 ปี ข้างหน้า โดยองค์กรใดที่สามารถผสมผสานเทคโนโลยีเหล่านี้และจัดวางการใช้งานได้ถูกที่ถูกทาง เท่ากับเป็นการปูรากฐานทางธุรกิจให้แข็งแกร่ง และสร้างความได้เปรียบสำหรับยุค “เศรษฐกิจดิจิทัล”ซึ่งขับเคลื่อนด้วย “ฐานข้อมูล นวัตกรรม และปัญญาประดิษฐ์” บนระบบงานที่เน้นความเป็น“อัตโนมัติ หรือ ออโตเมชั่น” แบบครบจบทุกกระบวนการ

ที่ผ่านมา การเริ่มต้นใช้งาน “คลาวด์ คอมพิวติ้ง” ไม่ว่าจะเป็นคลาวด์ส่วนตัว คลาวด์สาธารณะ ไฮบริดคลาวด์ จะมองถึงความคุ้มทุนที่เกิดจากการแชร์ใช้ทรัพยากรไอทีร่วมกันทั้งออนไลน์และออฟไลน์ แต่จากนี้ไป คลาวด์จะมีบทบาทสนับสนุนการทำงานเพื่อสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจมากขึ้น และในปีนี้  “มัลติคลาวด์” จะถูกพูดถึงเป็นพิเศษ ด้วยแนวทางที่เปิดกว้างให้กับองค์กรในการใช้งานคลาวด์จากผู้ให้บริการหลาย ๆ รายควบคู่กันไป เพื่อให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะด้าน ส่วนตัวช่วยใหม่ ๆ ที่จะมาเติมประสิทธิภาพของคลาวด์ ได้แก่ “เอดจ์ คอมพิวติ้ง(Edge Computing)” ที่จะมาช่วยลดโหลดการทำงานบนคลาวด์ โดยให้อุปกรณ์ปลายทางสามารถจัดการตัวเองได้ เสริมด้วย “แอปพลิเคชันในแบบไมโครเซอร์วิส (Micro Services)” ซึ่งเป็นการพัฒนาแอปพลิเคชั่นที่แยกออกเป็นส่วนย่อย ๆ ตามฟังก์ชั่นใช้งาน เพื่อให้ง่ายต่อการปรับปรุงแก้ไขผ่านคลาวด์ได้ด้วยเวลาที่รวดเร็ว และทันกับการดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป

ขณะเดียวกัน ในยุคที่ผู้คนหันมานิยมแสดงความรู้สึกนึกคิด และพฤติกรรมผ่านแฮชแท็กซ์ อิโมจิ สติกเกอร์ไลน์ หรือยูทูป การหลั่งไหลของข้อมูลผ่านอุปกรณ์ไอโอที หรือการประกอบธุรกรรมออนไลน์ ทำให้ “บิ๊ก ดาต้า” เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในระดับที่เราไม่คุยเป็น “เทราไบต์” กันแล้ว แต่เป็นการโตในระดับ “เซตตาไบต์ (Zettabyte)” ด้วยข้อมูลแบบมีโครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง และหน้าตาที่หลากหลายซึ่งไม่ใช่แค่ตัวอักษรอีกต่อไป  เครื่องมือวิเคราะห์ บิ๊ก ดาต้า จึงกำลังถูกพัฒนาให้ทำงานได้ฉลาดขึ้นในการ “กลั่นกรองและวิเคราะห์ข้อมูลที่ใช่” และส่งต่อสู่กระบวนการสนับสนุนการตัดสินใจทางธุรกิจ หรือ บิซิเนส อินเทลลิเจนส์ เพื่อเพิ่มมุมมองใหม่จากข้อมูลที่หลากหลายให้กับผู้บริหาร รวมถึงต่อยอดสู่การสร้างนวัตกรรม เช่น เออาร์/วีอาร์ แมชชีนเลิร์นนิ่ง หรือ ปัญญาประดิษฐ์ ที่สามารถยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน หรือ เพิ่มโอกาสทางการพัฒนาสินค้าหรือบริการที่โดนใจและเข้าถึงตัวตนของ “ลูกค้าหรือผู้บริโภค” ในระดับที่รู้ว่า ชอบอะไร ซื้อเมื่อไหร่ และอนาคตอยากซื้ออะไร จนเกิดเป็นความภักดีต่อแบรนด์ยิ่งกว่าเดิม

และแล้ว “ไอโอที” ก็ให้เราได้มากกว่าการเป็นแค่โปรโตคอลหนึ่งที่มีไว้เชื่อมต่ออุปกรณ์เท่านั้น แต่คือ “แพลตฟอร์มที่สามารถ “สร้างและขยายพื้นที่แสดงผลและส่งต่อข้อมูลที่หลากหลายแบบไม่จำกัดโครงสร้าง” ซึ่งองค์กรเอาไปประยุกต์ใช้ได้หลายทาง อาทิ ใช้เป็นเครื่องมือส่งต่อ “นวัตกรรมข้อมูลในรูปแบบความจริงเสมือน (เออาร์/วีอาร์)“ เพื่อสื่อสารหรือปลุกกระแสความนิยมในสินค้าและบริการ หรือชูภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งของแบรนด์ผ่านอุปกรณ์ BYOD ตรงถึงมือลูกค้า  การต่อยอดไอโอทีให้อยู่ในรูปของ “เซ็นเซอร์และอุปกรณ์อัจฉริยะ” ที่ช่วยองค์กรในการตรวจติดตาม หรือควบคุมกระบวนการผลิตในงานอุตสาหกรรม คุณภาพของสินค้าหรือบริการ การใช้งานไอโอทีในการผลักดันการเติบโตของตลาดการค้าบนโลกออนไลน์ที่ทำให้เราสามารถขยายพื้นที่การขาย เพิ่มเติมฐานลูกค้า หรือพบช่องทางการสร้างรายได้ใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจ

การจับมือระหว่างไมโครซอฟท์และฟิตบิทในการพัฒนาแอปพลิเคชันบนวินโดว์ 10 ที่ผสมผสานข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพและเทคโนโลยี เพื่อสร้างโปรแกรมคำนวณการออกกำลังกายที่เหมาะสมเฉพาะบุคคลได้ทันทีผ่านสมาร์ทโฟน อเมซอนช็อปปิ้ง พัฒนาโปรแกรมวิเคราะห์เครื่องแต่งกายจากข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสไตล์และแฟชั่น เพื่อเป็นผู้ช่วยด้านแฟชั่นแบบเวอร์ช่วลให้กับนักช็อปทั้งหลาย คือ ตัวอย่างการเติมเต็มประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าผ่าน “ปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ” ซึ่งนอกจากจะสามารถ “สร้างการรับรู้ โต้ตอบ หรือปฏิบัติการได้ทันทีที่ร้องขอ”ยังเป็นการยกระดับความเป็นนวัตกรรมของแบรนด์ในสายตาลูกค้า นอกจากนี้ ข้อมูลหรือพฤติกรรมการโต้ตอบของลูกค้ากับเอไอ ยังนำไปใช้ในการวิเคราะห์ปรับปรุงเพื่อเพิ่มรายได้และสร้างโอกาสการขาย โดยเน้นการนำเสนอในจุดที่ลูกค้าสนใจ หรือจากมุมที่ดีที่สุดของสินค้าและบริการ จนสามารถเปลี่ยนการตัดสินใจจาก “เดี๋ยวค่อยซื้อ” เป็น “อยากซื้อเดี๋ยวนี้”

ขีดความสามารถของ “บล็อกเชน” ที่ขยายผลจากโลกของฟินเทคสู่โลกของการจัดการธุรกิจ เป้าหมาย คือ “สร้างความน่าเชื่อถือ โปร่งใส และตรวจสอบได้” ด้วยหลักการ “การจัดเก็บฐานข้อมูลแบบกระจาย (Distributed Database) ที่ต่อตรงถึงกันทั้งหมดภายในเครือข่าย” โดยไม่ต้องมีตัวกลางประมวลผลเหมือนฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ การปรับปรุงทุกฐานข้อมูลในเครือข่ายให้ทันสมัยจึงทำได้พร้อมกันทันที ซึ่งลดทั้งเวลาและขั้นตอนการทำงาน การสร้างความโปร่งใสน่าเชื่อถือจากการที่ทุกฐานข้อมูลในเครือข่ายสามารถตรวจสอบย้อนกลับไป-มาซึ่งกันและกันถึงความถูกต้อง ที่มาที่ไป และการเคลื่อนไหวของข้อมูล หรือธุรกรรมต่าง ๆ ได้   ขณะเดียวกัน การขโมย ปลอมแปลง หรือทำลายระบบจะต้องเจาะถึงทุกฐานข้อมูลในเครือข่ายพร้อม ๆ กันและในเวลาเดียวกันจึงจะสำเร็จ ซึ่งนั่นทำให้บล็อกเชนได้รับการยอมรับว่า มีความปลอดภัยสูง ตัวอย่างของบล็อกเชนที่ใช้ในเชิงธุรกิจ เช่น ไอบีเอ็มซึ่งได้พัฒนาแพลตฟอร์มบนบล็อกเชนที่ชื่อว่า “ฟู้ดทรัสต์ (Food Trust)” ในการติดตามตรวจสอบซัพพลายเชนที่อยู่ในกระบวนการจัดหาและส่งมอบผลิตผลทางอาหารถึงมือผู้บริโภค โดยตัวผู้บริโภคเองก็สามารถตรวจสอบย้อนกลับเพื่อยืนยันแหล่งที่มา คุณภาพ และความสดใหม่ของสินค้าได้

ประสิทธิภาพของ “ระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์” ที่ต้องตอบโจทย์ให้ตรงจุดในเรื่อง “ป้องกันความเสี่ยงและสร้างความไว้วางใจ (Risk & Trust)” ในอดีต เราเคยมี เกตเวย์ ไฟร์วอลล์ เป็นปราการป้องกันระบบไอทีขององค์กร แต่ยังไม่พอสำหรับการปกป้องทรัพย์สินสารสนเทศโดยเฉพาะ “ข้อมูล” ที่อยู่บนโลกออนไลน์และคลาวด์ ไอดีซี ได้เสนอแนะแนวคิด “ซีโร่ ทรัสต์ ซีเคียวริตี้ (Zero Trust Security)” บนหลักการที่ว่า ”อย่าไว้ใจกันง่าย ๆ”   โดย ปัญญาประดิษฐ์ บล็อกเชน จะเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความปลอดภัยของข้อมูลบนคลาวด์หรือออนไลน์ในการตรวจจับผู้บุกรุกจากภายนอก และป้องกันการรั่วไหลโดยคนใน ซึ่ง กูเกิล ได้นำแนวคิดนี้ไปพัฒนาระบบความปลอดภัยของข้อมูล ภายใต้โครงการ”บียอนคอร์ป (Beyond Corp) แล้ว นอกจากนี้ แพลตฟอร์มความปลอดภัยที่พัฒนาบน “เอพีไอแบบเปิด (Open APIs)” ก็เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่เข้ามาอุดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย โดยองค์กรสามารถพัฒนาเพิ่มเติม หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงเพื่อรับมือกับภัยคุกคามต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่จะช่วยเติมพลังให้กับองค์กร เพื่อพร้อมสู้ศึกการแข่งขันในโลกยุคดิจิทัล โลกซึ่งความได้เปรียบด้านเทคโนโลยีและข้อมูล คือ หนึ่งในตัวชี้วัดความสำเร็จทางธุรกิจ