‘เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย’ โชว์ฟอร์มเก่ง ทำกำไรสุทธิ Q1/62 ได้ 80.50 ล้านบาท

‘บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย หรือ JKN’ ผู้นำการจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ระดับสากล โชว์ผลงานไตรมาส 1/62 เติบโตต่อเนื่อง หลังทำรายได้รวม 424 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% และกำไรสุทธิ 80.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% หลังส่งมอบลิขสิทธิ์คอนเทนต์ซีรี่ส์อินเดียและฟิลิปปินส์ไปยังตลาดต่างประเทศเพิ่ม ดันสัดส่วนรายได้ส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 29% ของรายได้รวม ขณะที่แผนงานไตรมาส 2/62 เดินหน้าเติบโตตามแผน หลังลูกค้าใหม่เซ็นสัญญาซื้อคอนเทนต์เพิ่ม ช่วยชดเชยรายได้จากคู่ค้ารายเดิมที่คืนช่องทีวีดิจิทัล พร้อมมองเชิงบวกรัฐเว้นค่าไลน์เซนต์และช่วยจ่ายค่าเช่าโครงข่ายให้ตลอดอายุสัญญา ช่วยลดต้นทุนดำเนินงาน หนุนผู้ประกอบการลุยลงทุนซื้อคอนเทนต์เสริมความแข็งแกร่งชิงเรตติ้งทีวีดิจิทัล

คุณจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN ผู้นำการจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ระดับสากล เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/62 (มกราคม-มีนาคม 2562) บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการผลักดันการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยทำรายได้รวม 424 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม345 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 80.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีกำไรสุทธิ 70.57 ล้านบาท ซึ่งมีปัจจัยความสำเร็จมาจากการรุกขยายจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

โดยในไตรมาสนี้ บริษัทฯ ได้ส่งมอบลิขสิทธิ์คอนเทนต์ซีรี่ส์อินเดียและฟิลิปปินส์ไปยังตลาดในประเทศ สปป.ลาว กัมพูชาและเมียนมา ทำให้ JKN มีสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 29% ของรายได้รวม ขณะที่ตลาดในประเทศมีสัดส่วนรายได้ 71%โดยพบว่ายอดขายคอนเทนต์ไปยังช่องทางกลุ่ม VOD หรือ Video On Demand มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 เท่าตัว หรือจากเดิม 31ล้านบาท เพิ่มเป็น 81 ล้านบาท ส่วนการขายคอนเทนต์ให้แก่ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลยังใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

“เราพอใจในผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/62 ที่สามารถผลักดันการเติบโตเป็นที่น่าพอใจทั้งในแง่ของรายได้และกำไรสุทธิ ซึ่งมาจากการส่งมอบลิขสิทธิ์คอนเทนต์ไปยังต่างประเทศ ที่ถือเป็นตลาด Blue Ocean ของ JKN ในการขยายตลาดได้อีกมาก ส่วนตลาดในประเทศนั้น เราได้เห็นสัญญาณการซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์เพื่อไปเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น” คุณจักรพงษ์ กล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JKN กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีลิขสิทธิ์คอนเทนต์ที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) สิ้นสุด  ณ วันที่ 31มีนาคม 2562 อยู่ที่ 709 ล้านบาท ที่เข้ามาสนับสนุนการเติบโตในปีนี้ 20% ให้ได้ตามแผนงาน โดยมีลูกค้ารายใหม่ซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์เข้ามาเพิ่มเติม คิดเป็นมูลค่าสัญญามากกว่า 100 ล้านบาท รวมถึงความสำเร็จในการขยายฐานลูกค้าทีวีดิจิทัลใหม่ๆ ได้เพิ่มเติม เช่น ททบ.5ซึ่งสามารถชดเชยรายได้บางส่วนที่หายไปจากคู่ค้าที่คืนช่องทีวีดิจิทัลให้แก่ กสทช.ได้

ทั้งนี้ บริษัทฯ ประเมินว่า ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลอีก 15 ช่องที่เหลือจะมุ่งเน้นสร้างความเข้มแข็งให้แก่คอนเทนต์ที่ออกอากาศเพิ่มมากขึ้น หลังภาครัฐให้ความช่วยเหลือยกเว้นค่าไลน์เซนต์งวดที่เหลือพร้อมจ่ายค่าเช่าโครงข่ายให้ตลอดอายุสัญญา ทำให้ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลมีต้นทุนดำเนินงานลดลง และสามารถนำเงินดังกล่าวมาลงทุนซื้อคอนเทนต์ไปออกอากาศเพื่อสร้างเรตติ้งให้แก่สถานี จึงเป็นโอกาสของ JKN เพื่อนำเสนอคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมจากทั่วโลก เพื่อสร้างรายได้จากผู้ประกอบการสถานีทีวีดิจิทัลได้มากขึ้น

ส่วนตลาดต่างประเทศนั้น ยังมีอัตราการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง โดย JKN จะทยอยส่งมอบลิขสิทธิ์คอนเทนต์ซีรี่ส์อินเดียและฟิลิปปินส์ให้แก่ สปป.ลาว กัมพูชา เมียนมา เพิ่มเติม จึงมั่นใจว่าปีนี้จะผลักดันการเติบโต 20% ได้ตามแผนงานอย่างแน่นอน

ข้อมูลสรุปผลประกอบการไตรมาส 1/2562

บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย หรือ JKN

งบการเงิน

ไตรมาส 1/2562

(ล้านบาท)

ไตรมาส 1/2561

(ล้านบาท)

เปลี่ยนแปลง (%)

รายได้รวม

424

345

+23

กำไรสุทธิรวม

80.50

70.57

+14

 

ปัจจัยเติบโตของผลการดำเนินงาน 1Q62 ของ JKN

  1. บริษัทฯ ได้ส่งมอบลิขสิทธิ์คอนเทนต์ซีรี่ส์อินเดียและฟิลิปปินส์ไปยังตลาดในประเทศ สปป.ลาว กัมพูชาและเมียนมา ทำให้ JKN มีสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 29%
  2. รายได้จากการจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์เพื่อนำไปเผยแพร่ผ่านออนไลน์ (VOD) เติบโต 1 เท่าตัวจาก 31 ล้านเพิ่มเป็น 81 ล้านบาท ขณะที่การขายผ่านทีวีดิจิทัลอยู่ในภาวะทรงตัว

เป้าหมายปี 2562 : JKN ตั้งเป้าเติบโต 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

  1. มี Backlog ณ สิ้น 31 มี.ค.62 709 ล้านบาท
  2. เซ็นสัญญาลูกค้าใหม่ซื้อคอนเทนต์มูลค่ามากกว่า 100 ล้านบาท ชดเชยรายได้จากกลุ่มลูกค้าเดิมคืนช่อง
  3. รุกขยายตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายจะทำสัดส่วนรายได้ 30% ของรายได้รวม