การศึกษาครั้งสำคัญโดย คอร์น เฟอร์รี่ (รหัสในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก: KFY) ซึ่งดำเนินการสำรวจความคิดเห็นของนักลงทุนเกือบ 800 รายและทำการวิเคราะห์โดยละเอียดกับผู้นำองค์กรธุรกิจมากกว่า 150,000 ราย รายงานผลว่า ผู้นำองค์กรส่วนใหญ่ยังไม่พร้อมสำหรับการเตรียมรับมือกับความท้าทายในอนาคต
ผลสำรวจ “ผู้นำที่ปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลง (The Self-Disruptive Leader*)” โดย คอร์น เฟอร์รี่ ได้สำรวจความคิดเห็นของนักลงทุนทั่วโลกจำนวน 795 คน ซึ่งผลปรากฏว่า นักลงทุนในเอเชียแปซิฟิกมากกว่า 2 ใน 3 (69%) ระบุว่าผู้นำองค์กรธุรกิจเอกชนในปัจจุบันยัง “ไม่มีคุณสมบัติที่ดีพอ” สำหรับธุรกิจในอนาคต
ผลการวิเคราะห์ที่ได้มีความน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เนื่องจากผู้นำองค์กรมีความสำคัญต่อนักลงทุน ซึ่งไม่เฉพาะในเอเชียแปซิฟิก แต่รวมถึงทั่วโลก โดยนักลงทุนกว่า 78% ยืนยันว่าผู้บริหารระดับสูงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการตัดสินใจลงทุนของบริษัท และนักลงทุนกว่า 83% อ้างว่า ผู้บริหารระดับสูงที่มีความสามารถโดดเด่นยิ่งมีความจำเป็นอย่างมากต่อการสร้างความสำเร็จขององค์กรในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
นักลงทุนทั่วโลกต่างเล็งเห็นถึงความจำเป็นอย่างเร่งด่วนของการสร้างผู้นำที่พร้อมสำหรับอนาคต โดยนักลงทุนราว 2 ใน 3 (66%) กล่าวว่า พวกเขาให้คุณค่ากับวิสัยทัศน์และการเดินหน้าสู่เป้าหมายในอนาคตมากกว่าประสิทธิภาพการทำงานในอดีต และ 69% ระบุว่าความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงจะยิ่งทำให้ภาวะผู้นำทวีความสำคัญต่อประสิทธิภาพการทำงานของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้า
ในการศึกษาหัวข้อ “ผู้นำที่ปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลง (The Self-Disruptive Leader)” โดย คอร์น เฟอร์รี่ (และข้อมูลการให้เหตุผลเพิ่มเติมจากนักลงทุน) ได้มีการสอบถามข้อมูลอย่างละเอียดจากผู้นำองค์กรธุรกิจจำนวน 150,000 รายทั่วโลก ผลลัพธ์ที่ได้นั้นยังน่าวิตกกังวล กล่าวคือ การวิเคราะห์เผยให้เห็นว่าโดยเฉลี่ยทั่วโลก รวมถึงเอเชียแปซิฟิก มีผู้บริหารเพียง 15% เท่านั้น ที่มีคุณสมบัติของผู้นำที่ดีเยี่ยมสำหรับโลกธุรกิจที่ผันผวนอย่างรวดเร็วเช่นทุกวันนี้
สัดส่วนของผู้นำที่ปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดแต่ละแห่ง
ตลาด |
% ของผู้นำที่ปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลง |
ฮ่องกง |
17% |
โปแลนด์ |
17% |
สิงคโปร์ |
17% |
อินเดีย |
17% |
เยอรมนี |
16% |
ญี่ปุ่น |
16% |
เนเธอร์แลนด์ |
16% |
สหรัฐฯ |
15% |
สหราชอาณาจักร |
15% |
ออสเตรเลีย |
15% |
เม็กซิโก |
14% |
ฝรั่งเศส |
14% |
ซาอุดิอาระเบีย |
14% |
อินโดนีเซีย |
14% |
จีน |
13% |
บราซิล |
13% |
แอฟริกาใต้ |
13% |
มาเลเซีย |
12% |
ข้อมูลแสดงให้เห็นว่า ผู้นำส่วนใหญ่ยังไม่มีความสามารถในการตัดสินใจและการดำเนินงานที่ฉับไวอย่างชาญฉลาด รวมไปถึงการกระตุ้นพนักงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการสร้างความเชื่อมั่น ซึ่งทั้งหมดล้วนจำเป็นต่อการสร้างหลักประกันการอยู่รอดขององค์กรในอนาคต
ดร. มานะ โลหะเทพานนท์ กรรมการผู้จัดการ คอร์น เฟอร์รี่ ประเทศไทย กล่าวว่า“บริษัทต่าง ๆ ล้วนมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการบ่มเพาะผู้นำแห่งอนาคต ซึ่งในการอุดช่องว่างของภาวะผู้นำนั้น ธุรกิจต่าง ๆ มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่ต้องปฏิวัติแนวทางการฝึกอบรม ยกระดับทักษะของผู้จัดการระดับกลางที่มีศักยภาพ และสร้างวัฒนธรรมที่ส่งเสริมพนักงานทุกระดับให้กระตือรือร้นต่อการแข่งขันและการคิดค้นนวัตกรรมใหม่”
จากการศึกษาเรื่อง “ผู้นำที่ปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลง (The Self-Disruptive Leader)” ทำให้ทราบว่า เราจำเป็นต้องมีต้นแบบใหม่ของภาวะผู้นำแห่งอนาคต เมื่อพิจารณาต่อยอดจากคุณสมบัติของภาวะผู้นำในปัจจุบันที่ต้องมีความฉับไว ทันต่อโลกยุคดิจิทัล และมีความสามารถที่ครอบคลุม ผู้นำที่ปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลงยังต้องมีทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคตในด้านต่าง ๆ อีกด้วย นั่นคือ ADAPT อันได้แก่ Anticipate (การคาดการณ์), Drive (การขับเคลื่อน), Accelerate (การกระตุ้น), Partner (พันธมิตร) และ Trust (ความเชื่อมั่น)
“ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา เหล่าผู้นำต่างถูกสอนว่า การควบคุม ความต่อเนื่อง และการปิดช่องโหว่ให้สมบูรณ์ คือหลักการของภาวะผู้นำทางธุรกิจ แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แบบพลิกฝ่ามือที่เกิดขึ้นกับสภาพธุรกิจทั่วโลกทำให้ไม่มีแบบแผนของความสำเร็จที่ตายตัวอีกต่อไป อีกต่อไป” เดนนิส บัลซ์ลีย์ นักปฏิบัติงานฝ่าย Global Solution Leader For Leadership Development ของคอร์น เฟอร์รี่ และผู้ร่วมผลิตเอกสารรายงานฉบับใหม่ The Self-Disruptive Leader กล่าว
งานศึกษาให้ข้อเสนอแนะว่า แรงผลักดันที่ก่อให้เกดการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคน ในด้านเทคโนโลยี โลกาภิวัฒน์ ประชากร และพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน กำลังเผยให้เห็นถึงข้อจำกัดของคุณสมบัติของผู้นำแบบเดิมๆ ที่สืบทอดกันมาทั่วโลก
“ในขณะที่เรากำลังก้าวสู่ยุคแห่งเทคโนโลยีเพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งด่วน บรรดาคู่แข่งธุรกิจก็มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วกว่าในอดีตเช่นกัน ผู้นำที่ปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลงให้สอดรับกับตลาดได้อย่างต่อเนื่อง จึงถือเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ ภายใต้สภาพการณ์แห่งการเปลี่ยนแปลงเช่นปัจจุบัน แต่ก็ไม่ใช่ผู้นำธุรกิจทุกรายจะพร้อมสำหรับความท้าทายนี้” ดร. มานะ โลหะเทพานนท์ กล่าวปิดท้าย
ข้อมูลเปรียบเทียบของตลาดต่าง ๆ ในเอเชียแปซิฟิก
-
ฮ่องกง สิงคโปร์ และอินเดีย มีสัดส่วนผู้นำที่ปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลงสูงสุด โดยมีสัดส่วนสูงสุดทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ด้วยสัดส่วนผู้นำที่พร้อมสำหรับอนาคตสูงถึง 17% ซึ่งล้วนเป็นผู้ที่มีทักษะในด้าน ADAPT ที่จำเป็นต่อความสำเร็จในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
-
นักลงทุนในเอเชียแปซิฟิกรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับการขาดแคลนผู้นำที่พร้อมสำหรับอนาคต มากที่สุดคือที่ประเทศจีน โดยนักลงทุนกว่า 82% กล่าวว่าผู้นำที่มีแนวคิดแบบเก่านั้นไม่เหมาะสมกับโลกอนาคต เช่นเดียวกับนักลงทุนในญี่ปุ่นที่วิตกกังวลมากไม่ต่างกัน (80%) ขณะเดียวกัน นักลงทุนในฮ่องกงและสิงคโปร์วิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะผู้นำในปัจจุบันน้อยที่สุด โดยราวครึ่งหนึ่งกล่าวว่า ผู้นำยังไม่พร้อมสำหรับอนาคต (54% และ 51% ตามลำดับ)
-
นักลงทุนทั่วเอเชียแปซิฟิกเห็นว่า ผู้ที่มีความสามารถถือเป็นปัจจัยสำคัญเบื้องต้น โดยเฉพาะในออสเตรเลีย ซึ่งนักลงทุนกว่า 92% กล่าวว่า ซีอีโอมีความสำคัญอย่างยิ่งในการที่บริษัทจะตัดสินใจลงทุน ส่วนนักลงทุนชาวจีนพิจารณาถึงปัจจัยนี้น้อยที่สุดในภูมิภาค โดยมี 70% ระบุว่าซีอีโอมีความสำคัญมาก
-
นักลงทุนในเอเชียแปซิฟิกมีความตระหนักร่วมกันเกือบเป็นเอกฉันท์ถึงความเร่งด่วนของสถานการณ์นี้ โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ทั้งในจีน (96%) อินโดนีเซีย (91%) สิงคโปร์ (91%) และอินเดีย (90%) เชื่อว่าองค์กรต่าง ๆ กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายเพื่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
-
ความต้องการผู้นำที่พร้อมสำหรับอนาคตแทบจะเป็นเรื่องเร่งด่วนสำหรับตลาดบางแห่ง โดยนักลงทุนในฮ่องกง (66%) และสิงคโปร์ (69%) มากกว่า 2 ใน 3 ให้คุณค่ากับวิสัยทัศน์และการเดินหน้าสู่เป้าหมายแห่งอนาคตมากกว่าประสิทธิภาพการทำงานในอดีต โดยมากที่สุดคือญี่ปุ่น (78%) มีเพียงอินโดนีเซียที่ต้านกระแสและเป็นตลาดแห่งเดียวในภูมิภาคที่นักลงทุนน้อยกว่าครึ่ง (46%) ให้คุณค่ากับวิสัยทัศน์มากกว่าประสิทธิภาพการทำงานในอดีต
-
นักลงทุนทั่วเอเชียแปซิฟิกตระหนักว่า ความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงจะยิ่งเพิ่มความต้องการผู้นำที่มีประสิทธิภาพในอนาคตอันใกล้ โดยนักลงทุนในมาเลเซียเน้นย้ำเรื่องนี้มากที่สุด กว่า 77% กล่าวว่าความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงจะทำให้ภาวะผู้นำทวีความสำคัญต่อประสิทธิภาพการทำงานของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้า ตามมาด้วยออสเตรเลียซึ่งมีนักลงทุนมากเป็นอันดับ 2 (76%) ที่เน้นย้ำเรื่องนี้ กระนั้น ในภูมิภาคนี้ยังมีตลาดบางแห่งที่สงสัยต่อแนวคิดนี้ โดยนักลงทุนในอินเดียและอินโดนีเซียตระหนักถึงความสำคัญของภาวะผู้นำน้อยที่สุด โดยมีมากกว่าครึ่งเพียงเล็กน้อย (54%) ที่กล่าวว่าเรื่องนี้มีความสำคัญ
เกี่ยวกับการศึกษาหัวข้อ ผู้นำที่ปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลง (The Self-Disruptive Leader)
การศึกษาหัวข้อ ผู้นำที่ปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลง (The Self-Disruptive Leader) อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลส่วนตัวและการวิจัยข้อคิดเห็น สถาบันคอร์น เฟอร์รี่ (Korn Ferry Institute : KFI) ได้กำหนดโครงสร้างการประเมินโดยใช้การวิเคราะห์ปัจจัยจากการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) เพื่อการระบุว่าทักษะด้านใดที่คาดว่าจะส่งผลถึงความสำเร็จในอนาคตมากที่สุด การวิเคราะห์นี้ได้ระบุถึงคุณสมบัติภาวะผู้นำ 5 ด้านของผู้นำแห่งอนาคต นั่นคือ ADAPT
*ADAPT ประกอบด้วยคุณสมบัติภาวะผู้นำ 5 ด้าน ได้แก่ Anticipate (การคาดการณ์), Drive (การขับเคลื่อน), Accelerate (การกระตุ้น), Partner (พันธมิตร) และ Trust (ความเชื่อมั่น)
-
Anticipate (การคาดการณ์): แสดงถึงความฉลาดเชิงบริบทในการตัดสินใจและสร้างโอกาสอย่างรวดเร็ว การให้ความสำคัญกับความต้องการด้านสังคมที่องค์กรต้องการตอบสนอง การมอบทิศทางเพื่อสร้างความร่วมแรงร่วมใจท่ามกลางสภาวะที่ผู้คนไร้ทิศทาง
-
Drive (การขับเคลื่อน): การกระตุ้นผู้คนผ่านการสร้างความรู้สึกร่วมถึงจุดหมาย การบริหารพลังงานทางความคิดและแรงกายของตนเองและผู้อื่น การส่งเสริมสภาพแวดล้อมเชิงบวกเพื่อให้ผู้คนเปี่ยมด้วยความหวัง มองโลกในแง่ดีและได้รับการผลักดันอย่างเป็นธรรมชาติ
-
Accelerate (การกระตุ้น): การบริหารการไหลเวียนขององค์ความรู้เพื่อสร้างนวัตกรรมอย่างสม่ำเสมอและผลลัพธ์ทางธุรกิจที่พึงประสงค์ การใช้ขั้นตอนการทำงานที่ฉับไว การสร้างต้นแบบที่รวดเร็วและวิธีการทำงานซ้ำตามแบบ เพื่อการดำเนินงานที่ฉับไวและทำให้แนวคิดสามารถสร้างผลกำไรได้จริงในเชิงธุรกิจ
-
Partner (พันธมิตร): เชื่อมโยงและสร้างพันธมิตรข้ามขอบเขต
-
านและองค์กรที่สามารถแผ่ขยายให้กว้างขวางยิ่งขึ้น การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนแนวคิด การผสานความสามารถพิเศษเพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้น
-
Trust (ความเชื่อมั่น): สร้างความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ระหว่างองค์กรและบุคคลที่มุ่งเน้นการเติบโตร่วมกัน การบูรณาการมุมมองและคุณค่าที่หลากหลาย การช่วยเหลือบุคคลให้เปิดเผยความรู้สึกร่วมที่มีต่อเป้าหมายและสนับสนุนให้พวกเขาอุทิศแรงกายแรงใจให้มากที่สุด
คะแนนภาวะผู้นำได้ถูกรวบรวมในแต่ละประเทศและเชื่อมโยงกับค่าดัชนีนวัตกรรมระดับโลก เพื่อค้นหาความสัมพันธ์ในเชิงปฏิบัติที่มีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างคุณสมบัติของผู้นำทั้ง 5 ด้านและค่าดัชนีนี้
ข้อมูลการประเมินภาวะผู้นำของสถาบันคอร์น เฟอร์รี่ ได้จากผู้เข้าร่วมมากกว่า 150,000 รายในตลาดใหญ่ 18 แห่งทั่วโลก (ออสเตรเลีย บราซิล จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย เม็กซิโก โปแลนด์ ซาอุดิอาระเบีย สิงคโปร์ แอฟริกาใต้ เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา) โดยเป็นธุรกิจที่ต้องใช้องค์ความรู้ขั้นสูง 3 สาขา (ธุรกิจการเงินและบริการ, เทคโนโลยี สื่อและโทรคมนาคม, การผลิตอุตสาหกรรม)
หลังจากนั้น จึงทำการวิจัยความคิดเห็นจากนักลงทุน 795 รายและวิเคราะห์จากตลาดหลักข้างต้นทั้ง 18 แห่ง โดยตัวอย่างผู้เข้าร่วมงานวิจัยเป็นผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทประเมินหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอย่างต่ำ 1 พันล้านดอลลาร์ (โดยสินทรัพย์ต่ำสุดจะมีค่าสูงกว่านี้ในตลาดขนาดใหญ่อย่างสหรัฐฯ) โดยจากบริษัทบริหารสินทรัพย์ระดับโลก 400 อันดับแรกที่วัดจากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ มีถึง 66% ที่เข้าร่วมในงานวิจัยครั้งนี้ ทำให้มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมถึง 50 ล้านล้านดอลลาร์ (ข้อมูล ณ ในวันที่ตีพิมพ์รายงาน) และงานวิจัยมุ่งเน้นที่นักลงทุนรายใหญ่ที่สุดของโลกในบริษัท 50 อันดับแรก วัดจากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ โดยอัตราการกระจายตัวของงานวิจัยคือ 85%
สามารถอ่านกระบวนการวิจัยทั้งหมดของการศึกษาในหัวข้อผู้นำที่ปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลง (The Self-Disruptive Leader) ที่เอกสารรายงาน
เกี่ยวกับคอร์น เฟอร์รี่
คอร์น เฟอร์รี่ เป็นบริษัทผู้ให้คำปรึกษาแก่องค์กรชั้นนำระดับโลก เราให้ความช่วยเหลือบรรดาบริษัทต่าง ๆ ในการออกแบบองค์กร ทั้งในแง่โครงสร้าง บทบาท และขอบเขตความรับผิดชอบ ตลอดจนรูปแบบการจ่ายผลตอบแทน การพัฒนา และการสร้างแรงจูงใจในการทำงานแก่บุคลากร
-