• สตาร์ทอัพอายุสามปีวางแผนขยายธุรกิจในประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์
• ปัจจุบันให้บริการในประเทศไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินเดีย
• การระดมทุนในรอบซีรีส์ บี ครั้งนี้ถือเป็นการระดมทุนที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของธุรกิจผู้ให้บริการการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์แบบดิจิทัลในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
• โซลูชั่นของอีซี่ฮอลมอบทางออกในการขนส่งสินค้าแบบครบวงจรแก่ธุรกิจต่างๆภายในตลาดการขนส่งสินค้าทางบกที่กระจัดกระจายตัวอยู่เดิม
อีซี่ฮอล บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการบริหารการขนส่งและโลจิสติกส์ที่ก่อตั้งมาสามปี ประกาศว่าได้ระดมทุนในรอบซีรีส์ บี สำเร็จด้วยมูลค่า 16 ล้านดอลลาร์ (490 ล้านบาท) บริษัทวางแผนที่จะใช้เงินทุนรอบนี้ในการขยายธุรกิจไปยังประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ พร้อมทั้งผลักดันนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อนำเสนอทางเลือกที่สะดวกและครบวงจรให้แก่ลูกค้า
อีซี่ฮอล ก่อตั้งที่สิงคโปร์ โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพธุรกิจขนส่งทางบกในภูมิภาคเอเชียใต้ที่มีมูลค่ากว่า 1.5 แสนล้านดอลลาร์ซึ่งกระจัดกระจายกันอยู่สูง โดย อีซี่ฮอล ให้บริการครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2018 และยังให้ความสำคัญต่อเทคโนโลยีและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบัน อีซี่ฮอล มอบโซลูชั่นด้านเทคโนโลยีและการให้บริการโลจิสติกส์แบบออนไลน์ที่หลากหลาย ซึ่งนำเสนอวิธีบริหารจัดการความต้องการขนส่งสินค้าทั้งภายในประเทศและข้ามพรมแดนที่รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ น่าเชื่อถือ และประหยัดต้นทุนได้ให้แก่กลุ่มธุรกิจขนาดกลางและใหญ่ รวมทั้งผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ต่างๆ
นายเรมอนด์ กิลลอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งแพลตฟอร์ม อีซี่ฮอล กล่าวว่า “การรักษาอัตราการเติบโตที่รวดเร็วเป็นเรื่องท้าทายในตลาดธุรกิจกับธุรกิจที่มีความต้องการสูง นับเป็นเรื่องดีที่เทคโนโลยีที่แข็งแกร่งของ อีซี่ฮอล ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการบรูณาการโดยใช้ EDI และ API มาเชื่อมโยงข้อมูลกับลูกค้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมสนับสนุนความต้องการของลูกค้าเหล่านั้น ซึ่งมีธุรกรรมจำนวนมากและต้องการการบริการที่เสมอต้นเสมอปลาย”
อีซี่ฮอล เติบโตกว่า 900% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่การระดมทุนรอบซีรีส์ เอ มูลค่า 5 ล้านดอลลาร์ (150 ล้านบาท) ในปี 2018 และใช้เวลานับจากนั้นขยายธุรกิจในประเทศไทยและอินเดีย อีกทั้งบูรณาการโซลูชั่นการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนออกไปครอบคลุมประเทศจีนจนถึงสิงคโปร์
ในปี 2018 แพลตฟอร์มของ อีซี่ฮอล ให้บริการขนส่งสินค้ามากกว่า 50 ล้านกิโลกรัมในประเทศสิงคโปร์ อินเดีย มาเลเซีย และไทย ปัจจุบัน มีลูกค้าหลายพันรายใช้บริการแพลตฟอร์มของ อีซี่ฮอล ตัวอย่างเช่น Coca Cola, Reliance Industries, On-Semi, Flipkart, DHL และ DB Schenker
เทคโนโลยีของ อีซี่ฮอล
แพลตฟอร์มของ อีซี่ฮอล ช่วยให้ลูกค้าสามารถจองการขนส่งทางบกแบบออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย ทั้งในประเทศ และข้ามพรมแดน บริษัทขนส่งก็สามารถใช้แอพพลิเคชั่นของ อีซี่ฮอล เช่นเดียวกัน เพื่อรับสินค้า จัดสรรการใช้พาหนะเพื่อประโยชน์สูงสุด และลดการใช้รถเที่ยวเปล่าได้อย่างเหมาะสม
อีซี่ฮอล มุ่งสร้างระบบนิเวศน์ที่เข้าอกเข้าใจ เพื่อสนับสนุนพันธมิตรด้านการขนส่งในการบริหารธุรกิจและพัฒนาคุณภาพชีวิตพนักงานขับรถของบริษัทพันธมิตรเหล่านั้นให้ดียิ่งขึ้น
แพลตฟอร์มนี้รวมเทคโนโลยีแบบบูรณาการเพื่อการจัดเส้นทางที่เหมาะสมและครอบคลุม ซึ่งสามารถกำหนดเส้นทางขนส่งที่มีประสิทธิภาพที่สุด ช่วยจัดสรรการใช้พาหนะเพื่อประโยชน์สูงสุด และลดต้นทุนการขนส่งให้ได้มากที่สุด จึงช่วยเพิ่มรายได้ต่อรอบการขนส่งของบริษัท ทั้งยังลดต้นทุนการขนส่งของลูกค้า เพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่ายในสภาพแวดดล้อมธุรกิจมีการแข่งขันสูงอยู่เดิม
แพลตฟอร์มของ อีซี่ฮอล สามารถใช้ติดตามสินค้า เข้าถึงเอกสารออนไลน์ แจ้งหนี้ และให้ข้อมูลยืนยันการจัดส่ง (POD) แบบเรียลไทม์ บริษัทได้เปิดตัวศูนย์ควบคุมที่ทันสมัยไม่นานมานี้ เพื่อดูแลการขนส่งสินค้าของรถบรรทุก ช่วยแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉินอัจฉริยะ และคาดการณ์เวลาที่สินค้าจะมาถึงด้วยอัลกอริธึมแบบ machine learning ขั้นสูง
บริการนี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงการดูรายงานข้อมูลแบบออนไลน์และข้อมูลวิเคราะห์ขั้นสูง ทำให้ได้รับข้อมูลเชิงลึกโดยละเอียดเกี่ยวกับประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าที่เกิดขึ้น
อีซี่ฮอล มุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านการขนส่งสินค้าและการจัดการโลจิสติกส์แบบดิจิทัลในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง โดยกำลังจะเปิดตัวแพลตฟอร์มรุ่นใหม่ภายในปีนี้ ซึ่งใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดซึ่งจะมอบประสบการณ์ใช้งานที่ดียิ่งขึ้นแก่ลูกค้า
มาร์ค ดีบาสทิสตา รองประธานฝ่ายขาย กล่าวว่า “สิ่งสำคัญ คือ หลายบริษัทใช้งบประมาณและเวลาไปมากเนื่องจากการขนส่งสินค้าที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้และขาดความน่าเชื่อถือ แพลตฟอร์มของ อีซี่ฮอล ช่วยให้ลูกค้าของเราสามารถเข้าถึงตัวเลือกผู้ขนส่งที่มากขึ้น สามารถลดต้นทุนต่อหน่วยในธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ขึ้น รวมทั้งใช้เทคโนโลยีช่วยวิเคราะห์การดำเนินการเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์และต้นทุนที่ลดลงกว่าเดิม”