ต้องยอมรับว่า “ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ” จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มี “กระบวนการขนส่ง” ที่มีประสิทธิภาพเป็นตัวช่วยขับเคลื่อน แม้ลูกค้าอีคอมเมิร์ซส่วนใหญ่จะเลือกช่องทางช้อปปิ้งออนไลน์ อาจเพราะราคาถูกก็ดีหรือโปรโมชั่นที่ดึงดูดใจก็ตาม
แต่ร้อยทั้งร้อยคนซื้อก็ยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในทุกๆ ครั้งที่กดสั่งซื้อ ต่างก็รู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางรับสินค้าได้ทันที แต่ “ความเร็ว” ในการส่งสินค้าก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ เพราะยิ่งจัดส่งสินค้ารวดเร็ว ยิ่งมีผลต่อความพึงพอใจของลูกค้า
เป็นที่น่าดีใจว่าจากผลการสำรวจที่จัดขึ้นโดย iPrice ร่วมมือกับ Parcel Perform ซึ่งเป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ในด้านการเช็คสถานะสินค้าให้กับบริษัทขนส่งสินค้าที่เชื่อมโยงกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซกว่า 600 รายทั่วโลก พบว่าประเทศไทย เป็นตลาดอีคอมเมิร์ซที่มีระบบขนส่งสินค้าเร็วที่สุดเฉลี่ย 2.5 วัน ขณะที่มาเลเซียใช้ระยะเวลาขนส่งสินค้านานที่สุดโดยเฉลี่ย 5.6 วัน หากนับระยะเวลาขนส่งโดยเฉลี่ยทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะอยู่ที่ 3.8 วัน
แม้ผลสำรวจจะระบุชัดแจ้งแล้วว่าประเทศไทยสามารถยึดแชมป์ส่งสินค้าธุรกิจ “อีคอมเมิร์ซ” ได้ แต่สำหรับ “ไปรษณีย์ไทย” ที่ฝ่าสมรภูมิธุรกิจโลจิสติกส์อันดุเดือด จนในปี 2018 ที่ผ่านมา สามารถครองส่วนแบ่งในธุรกิจจัดส่งสินค้าอีคอมเมิร์ซสูงสุด 54 – 55% ของตลาด มีจำนวนพัสดุจัดส่ง 310 ล้านชิ้น จากปริมาณรวม 580 ล้านชิ้น แต่ก็ยังมองว่าต้องไปต่อเพื่อกวาดชิ้นงานให้เพิ่มขึ้นอีก
“ไปรษณีย์ไทย” จึงเดินหน้าพัฒนาปรับปรุงคุณภาพบริการ “ไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (EMS)ในประเทศ” ซึ่งเป็นบริการส่งด่วนยอดนิยม ให้มีมาตรฐาน การบริการที่เป็นสากล และเป็นไปตามระบบบริหารจัดการคุณภาพ ISO 9001:2015 ซึ่งจะเป็นการลดข้อผิดพลาดในด้านความล่าช้า เสียหาย และสูญหายที่เกิดขึ้นในระบบการให้บริการ รวมไปถึงการยกระดับคุณภาพบริการ EMS จากเดิมที่จะต้องใช้เวลา 2-3 วันกว่าที่ผู้รับจะได้รับสิ่งของ เป็น “ส่งเช้าได้บ่าย ส่งบ่ายได้วันรุ่งขึ้น”
โดยการขยายเวลารับฝากบริการ EMS ในประเทศ (Cut-off Time) โดยส่งภายในกรุงเทพฯ และปริมณฑลภายใน 10.30 น. หรือ 11.00 น. (ตรวจสอบได้ ณ ไปรษณีย์ที่ฝากส่ง) ของจะถึงมือผู้รับปลายทางภายในวันเดียวกันไม่เกิน 18.00 น. และหากส่งจากกรุงเทพฯ และปริมณฑล ภายในเวลา 12.00 น. หรือ 17.00 น. (ตรวจสอบได้ ณ ไปรษณีย์ที่ฝากส่ง) ของจะถึงมือผู้รับปลายทางทั่วประเทศในวันถัดไป เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับบริการที่ดีและรวดเร็วที่สุด ตามมาตรฐานของบริการไปรษณีย์ด่วนพิเศษอีเอ็มเอส (EMS) และตอบสนองในยุคที่การค้าขายออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว
และในวาระก้าวสู่ปีที่ 17 ไปรษณีย์ไทยได้คืนกำไรให้ผู้ใช้บริการกับแคมเปญ “EMS ท้าส่ง” มอบส่วนลดให้กับผู้ใช้บริการ EMS ในประเทศสูงสุดกว่า 70% สำหรับผู้ใช้บริการที่ส่งของพิกัดน้ำหนักเกิน 500 กรัม สูงสุดถึง น้ำหนัก 10 กิโลกรัม ระหว่างวันที่ 14 ส.ค. – 15 ก.ย. 2562 นี้
โดยการปรับลดอัตราค่าบริการ EMS ในประเทศ พิกัดน้ำหนักตั้งแต่ เกิน 500 กรัม – 2,000 กรัม ค่าบริการอยู่ที่ 55 บาท ส่วนน้ำหนักพิกัด เกิน 2,000 – 7,000 กรัม ค่าบริการอยู่ที่ 80 บาท และน้ำหนักพิกัด เกิน 7,000 – 10,000 กรัม ค่าบริการอยู่ที่ 100 บาท ส่วนลดดังกล่าวจะใช้บริการได้เฉพาะที่ทำการไปรษณีย์ เคาน์เตอร์บริการไปรษณีย์ และลูกค้าที่ใช้บริการเตรียมการฝากส่งผ่าน Application prompt post เท่านั้น สำหรับร้านแฟรนไชส์และร้านรวบรวมต่างๆ ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขดังกล่าว