ในบรรดาเครื่องดื่มมากมายหลายชนิด ‘กาแฟ’ ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มอันดับต้นๆ ที่ครองใจคนทั่วโลกมาทุกยุคทุกสมัย ทว่าจะมีสักกี่คนที่เมื่อดื่มกาแฟแก้วโปรดแล้ว จะนึกถึงชาวสวนกาแฟผู้ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ เพื่อเมล็ดกาแฟคุณภาพเยี่ยมให้กับคอกาแฟ เนสกาแฟ ในฐานะแบรนด์กาแฟระดับโลก ตระหนักถึงคุณค่าของชาวสวนกาแฟไทย ผู้อยู่เบื้องหลังกาแฟขวัญใจคนไทยอย่างเนสกาแฟมาโดยตลอด จึงได้เดินหน้าสานต่อ โครงการ “ปลูกด้วยใจ กาแฟไทยยั่งยืนกับเนสกาแฟ” (Grown Respectfully) หลักปฏิบัติในระดับสากลของแบรนด์เนสกาแฟ ที่มีวัตถุประสงค์ในการสร้างคุณค่าให้เกิดประโยชน์ร่วมกันระหว่างชาวสวนกาแฟ ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ด้วยการปลูกกาแฟด้วยความรับผิดชอบ และคำนึงถึงความยั่งยืน
แม้ประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในแหล่งปลูกกาแฟคุณภาพของโลก อีกทั้งกาแฟเองก็เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของคนไทย ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นิยมดื่มกาแฟเพิ่มขึ้น ทว่าชาวสวนกาแฟต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนต่างๆ ส่งผลให้เกิดปัญหาผลผลิตต่ำ ทำให้บางปีได้รับผลตอบแทนไม่เต็มที่ โครงการ
“ปลูกด้วยใจ กาแฟไทยยั่งยืนกับเนสกาแฟ” (Grown Respectfully) ตั้งขึ้นด้วยจุดมุ่งหมายในการสร้างหลักประกันให้กับอนาคตของกาแฟคุณภาพที่ส่งถึงผู้บริโภคทั้งในวันนี้และต่อไปในอนาคต ควบคู่ไปกับสนับสนุนชาวสวนกาแฟให้มีการพัฒนาและเติบโตอย่างต่อเนื่องมั่นคง ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่
-
การตระหนักถึงคุณค่าของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ผ่านการสื่อสาร พบปะ พูดคุย สอบถาม ปรึกษาหารือ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเกษตรกรชาวสวนกาแฟ เพื่อช่วยปรับปรุงการทำสวนปลูกกาแฟ และคุณภาพของกาแฟ เพื่อให้เกิดการทำสวนกาแฟที่ได้ผลดีที่สุด
-
การสร้างคุณค่าให้ชุมชน ด้วยหลากหลายกิจกรรมเพื่อช่วยทำให้ชุมชนชาวสวนกาแฟมีความเข้มแข็ง
เพื่อจะได้ร่วมกันปรับปรุงคุณภาพชีวิตของเกษตรกรทุกคนในชุมชนให้ดีขึ้น -
การรักษาคุณค่าของสิ่งแวดล้อม ผลักดันให้เกิดการทำการเกษตรควบคู่ไปกับการรักษาทรัพยากรที่เกี่ยวข้องในกระบวนการเพาะปลูกและผลิตกาแฟ ตั้งแต่การดูแลรักษาน้ำ ความสมบูรณ์ของดิน และโรงงานผลิตที่ปราศจากของเสียที่เหลือทิ้งสู่สิ่งแวดล้อม
นางวรพรรณ สามิโส ตัวแทนชาวสวนกาแฟในโครงการปลูกด้วยใจฯ จากจังหวัดระนองเล่ว่า “ที่บ้านปลูกกาแฟมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ ส่วนตัวเองปลูกกาแฟมานาน 30 ปีแล้ว เคยผ่านจุดที่ถอดใจอยากยอมแพ้เพราะต้นกาแฟที่ปลูกไว้เริ่มแก่ ผลผลิตได้น้อยลง จนทางเนสท์เล่ส่งทีมนักวิชาการเข้ามาให้ความรู้ สอนทุกอย่างตั้งแต่การใส่ปุ๋ย การดูแล และการตัดแต่งกิ่งให้เกิดยอดใหม่ ทำให้กลับมามีผลผลิตเพิ่มมากขึ้น และคุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆ ถือเป็นจุดเปลี่ยนให้เรามีกำลังใจสู้อีกครั้ง”
“รู้จักเนสท์เล่มาตั้งแต่ปี 2540 สิ่งที่ทำให้ประทับใจคือตลอดระยะเวลา 20 กว่าปีเนสท์เล่ไม่เคยทิ้งเราเลย ทุกปีจะมีทีมนักวิชาการเกษตรลงพื้นที่มาเยี่ยมเยียนพี่ และชาวสวนกาแฟคนอื่นๆ ประมาณปีละ 3 ครั้ง มีการพาไปทัศนศึกษาดูงาน และตั้งแปลงปลูกกาแฟทดลองให้ศึกษาเปรียบเทียบว่าสิ่งไหนทำแล้วดีอย่างไร ชาวสวนกาแฟรายไหนปลูกกาแฟแล้วติดขัด หรือมีปัญหา เนสท์เล่จะส่งทีมเข้าไปดูแลเริ่มตั้งแต่วัดค่าดิน มีทีมผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำช่วยเหลือและจะให้เบอร์ติดต่อกับชาวสวนทุกคน ทำให้เวลามีปัญหาสามารถโทรปรึกษาได้ตลอด”
“ไม่เพียงแต่ให้ความรู้ในการปลูกกาแฟ เนสท์เล่ยังอบรมคนในชุมชนให้รู้จักการทำปุ๋ยหมักไว้ใช้เองเพื่อลดต้นทุน รวมทั้งการทำบัญชี เพื่อให้ควบคุมรายรับรายจ่ายได้ดีขึ้น สำหรับด้านสิ่งแวดล้อมที่เห็นได้ชัด คือเนสท์เล่ไม่สนับสนุนให้ใช้สารเคมีระหว่างการปลูกกาแฟ เพราะทำให้มีสารตกค้าง และไม่ดีกับสิ่งแวดล้อม”
สุดท้ายนี้เนสท์เล่ทำให้เราภูมิใจว่า กาแฟที่เราปลูกนั้นมีคุณภาพ และการมารับซื้อเมล็ดกาแฟจากเราถึงที่ ทำให้ได้รับเงินเป็นก้อน จนสามารถขยับขยายไร่ขึ้นมาได้ และเป็นแรงจูงใจให้ทำไร่ทำสวนมาจนถึงทุกวันนี้”
นายสุดใจ คำยอด ตัวแทนของชาวสวนกาแฟในโครงการปลูกด้วยใจฯ กล่าวว่า “เนสท์เล่ดีกับเรามากเขาให้เราเรียนรู้ ให้ความรู้กับชาวสวนกาแฟทั้งตำบล สอนวิธีการดูแลต่างๆ ให้เรา เช่น ให้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์จากท้องถิ่น ใส่ปุ๋ยตามการวิเคราะห์ดิน จนถึงวิธีการเก็บผลผลิตที่ให้เลือกเฉพาะผลที่สุกทีละเมล็ด แทนการรูดทั้งช่อ พอทำตามคำแนะนำ มันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ต้นทุนเราก็ลดด้วย ผลผลิตเราเพิ่ม เราก็ภูมิใจในตัวเองมากขึ้น”
นายธนธร พันพานิชย์กุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาดอาวุโส กลุ่มผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ เรดคัพ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลา 46 ปี ที่เนสกาแฟประสบความสำเร็จเป็นชื่นชอบของคอกาแฟไทยด้วยกาแฟคุณภาพ ที่หอมอร่อย เต็มรส เต็มกลิ่น เบื้องหลังความสำเร็จนี้นอกจากคอกาแฟที่ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี เนสกาแฟยังต้องขอขอบคุณชาวสวนกาแฟไทยทุกท่านที่ทุ่มเทปลูกกาแฟคุณภาพด้วยหัวใจ เพื่อเป็นการตอบแทนความตั้งใจของชาวสวนกาแฟไทยที่เปรียบเสมือนครอบครัวของเรา เนสกาแฟจึงมุ่งมั่นสานต่อ โครงการ ‘ปลูกด้วยใจ กาแฟไทยยั่งยืนกับเนสกาแฟ’ (Grown Respectfully) เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของชาวสวนกาแฟ ด้วยการส่งทีมนักวิชาการเกษตรผู้มีความเชี่ยวชาญลงพื้นที่ไปฝึกอบรมให้ความรู้ตั้งแต่การคัดเลือกสายพันธุ์ การปลูก การดูแลรักษา
รวมไปถึงเทคนิคต่างๆ เกี่ยวกับการปลูกกาแฟให้มีคุณภาพอย่างครบวงจร ผ่านการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจได้ว่าชาวสวนกาแฟจะมีรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจากปริมาณผลผลิตเมล็ดกาแฟคุณภาพที่เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่คอกาแฟไทยได้ดื่มด่ำกับกาแฟแก้วโปรดจากเมล็ดกาแฟคุณภาพ สร้างความยั่งยืนให้กับอนาคตของกาแฟไทยต่อไป”
ปัจจุบันมีชาวสวนกาแฟกว่า 2,700 รายเข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งดำเนินการครอบคลุมในพื้นที่ 5 จังหวัดที่ปลูกกาแฟเป็นหลักของไทย คือ ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และจันทบุรี เพื่อลดขั้นตอนด้านซัพพลายเชนและสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกรถึงผลตอบแทนที่คุ้มค่าจากผลผลิตกาแฟคุณภาพที่ผลิตอย่างพิถีพิถัน เนสกาแฟได้จัดตั้งศูนย์รับซื้อเมล็ดกาแฟโดยตรงจากเกษตรกร 4 แห่งคือที่อำเภอสวีและอำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร และที่อำเภอกระบุรีและกะเปอร์ จังหวัดระนอง ขณะเดียวกันนักวิชาการเกษตรของเนสท์เล่สามารถยกระดับผลผลิตกาแฟเฉลี่ยต่อปีของไทยให้สูงขึ้นเป็น 1.45 ตันต่อเฮกเตอร์ เทียบกับในอดีตที่ 0.9 ตันต่อเฮกเตอร์ พร้อมกันนี้เนสกาแฟยังได้ร่วมกับกรมวิชาการเกษตร ในการวิจัยและปรับปรุงพันธุ์กาแฟโรบัสต้ามาตั้งแต่ พ.ศ. 2542