การประชุมสุดยอดว่าด้วยการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ (United Nations Climate Action Summit) ที่นิวยอร์ก ได้ชูให้เห็นถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมจากภาคธุรกิจต่างๆ ในการต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และเพื่อให้สอดรับกับพันธสัญญาที่มีมาอย่างยาวนานในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ลอรีอัล กรุ๊ป จึงได้ก้าวไปอีกขั้นด้วยการเข้าร่วมโครงการริเริ่มBusiness Ambition for 1.5°C ซึ่งเป็นโครงการรณรงค์ที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของบรรดาผู้นำภาคธุรกิจ ประชาสังคม และสหประชาชาติ
ลอรีอัล มีเป้าหมายเรื่องการบรรลุปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (zero-net emission) ให้ได้ภายในปี 2593 ซึ่งจะช่วยควบคุมอุณหภูมิทั่วโลกไม่ให้สูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียสเหนือระดับอุณหภูมิก่อนยุคอุตสาหกรรม
นางอเล็กซานดรา พัลต์ รองประธานบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายความรับผิดชอบขององค์กร ลอรีอัล กรุ๊ป กล่าวว่า “การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศไม่ได้เป็นปัญหาไกลตัวหรือปัญหาของคนรุ่นหลังอีกต่อไป ลอรีอัลเป็นบริษัทแรกๆ ที่ได้ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซ CO2 ในกิจกรรมทางอุตสาหกรรมของบริษัทไว้สูงมากและจะบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ อย่างไรก็ดี การดำเนินการดังกล่าวก็ยังไม่เพียงพอ เรายังมีสิ่งที่ต้องทำต่อไปอีกมาก รวมทั้งเรื่องการลดผลกระทบให้เป็นไปตามที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ได้เรียกร้อง และสอดคล้องกับสิ่งที่โลกใบนี้ต้องการ”
ลอรีอัลกำลังเดินหน้าอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ให้ได้ภายในปี 2593 โดยลอรีอัลมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 1, 2 และ 3 ลง 25% ภายในปี 2573 (เทียบกับปี 2559) และเพื่อรองรับเป้าหมายนี้ ลอรีอัลจะลดการปล่อยก๊าซในขอบเขต 1 และ 2 ตามโรงงาน สำนักงาน และศูนย์วิจัยทั้งหมดของบริษัทให้ได้ 100% ภายในปี2568 (เทียบกับปี 2559) พันธสัญญาเหล่านี้ได้รับการรับรองให้เป็นเป้าหมายบนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์เมื่อเดือนธันวาคม 2560 จากScience-Based Targets Initiative ซึ่งหมายความว่า พันธสัญญาดังกล่าวเป็นไปตามแนวทางที่กำหนดไว้ในความตกลงปารีส (Paris Agreement)
แนวทางที่เป็นไปตามพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์นี้ เกิดขึ้นจากการดำเนินงานที่ลอรีอัลได้สานต่อมาเป็นเวลานับทศวรรษ เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนทั่วทั้งห่วงโซ่มูลค่าของบริษัท โดยทางเครือบริษัทได้ลดการปล่อยก๊าซในโรงงานต่างๆของบริษัทลงไปแล้วถึง 77% ระหว่างปี 2548 ถึงปี 2561 และเมื่อปลายปี 2561 พื้นที่ดำเนินงานของลอรีอัล 38 แห่ง สามารถบรรลุการปล่อยค่าคาร์บอนที่เป็นกลาง (carbon neutrality) ความก้าวหน้าอันโดดเด่นนี้ได้รับการยกย่องติดต่อกันเป็นปีที่ 6 จาก CDP ซึ่งยกให้ลอรีอัลเป็นบริษัทเกรด “A” อันเนื่องมาจากผลงานในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
พันธสัญญาของลอรีอัลที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และแสดงบทบาทผู้นำที่สะท้อนให้เห็นถึงความรับผิดชอบของธุรกิจนั้น ได้รับการยกย่องอีกครั้งหนึ่งบนเวที UN Global Compact Leaders Week โดยลอรีอัลได้รับการยกย่องให้เป็นสมาชิก Global Compact LEADจากความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของบริษัทที่มีต่อข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และหลักการทั้ง 10 สำหรับธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ
ลิซ คิงโก (Lise KINGO) ซีอีโอและผู้อำนวยการบริหารของข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า “บริษัทที่เป็นสมาชิก LEAD ต่างมีส่วนร่วมในระดับสูงสุดกับข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ โลกของเราจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากธุรกิจทุกขนาดในระดับที่มากกว่าที่เคย เฉกเช่นบริษัทที่เป็นสมาชิก LEAD เพื่อเดินหน้ายกระดับศักยภาพในการส่งเสริมความยั่งยืน และลงมือทำเพื่อสร้างโลกที่ดีขึ้น”
เกี่ยวกับลอรีอัล กรุ๊ป
ลอรีอัลทุ่มเทในธุรกิจความงามมายาวนานกว่า 100 ปี โดยมีพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์อันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งประกอบด้วยแบรนด์ความงามระดับโลกที่หลากหลายและเกื้อหนุนกัน 34 แบรนด์ ในปี 2017 ลอรีอัลกรุ๊ป มียอดขายผลิตภัณฑ์ 26,060 หมื่นล้านยูโรและมีพนักงานทั้งสิ้น 82,600 คนทั่วโลก ในฐานะองค์กรด้านความงามชั้นนำของโลก ลอรีอัลมีผลิตภัณฑ์จัดจำหน่ายผ่านทุกช่องทาง ครอบคลุมถึงตลาดมวลชน ห้างสรรพสินค้า เภสัชกรรมและร้านขายยา ซาลอน ร้านค้าในสนามบิน ร้านค้าปลีก และอี-คอมเมิร์ซ ลอรีอัลยึดมั่นในกลยุทธ์ที่สำคัญขององค์กรในการค้นคว้าวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องโดยทีมงานวิจัย 3,885 คน มุ่งตอบสนองต่อความปรารถนาด้านความงามของผู้คนทั่วโลก ลอรีอัลมีพันธสัญญาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนสำหรับปี 2020 “Sharing Beauty with All” หรือ “แบ่งปันความงดงามให้ทุกสรรพสิ่ง” เป็นแนวทางกำหนดเป้าหมายเพื่อการพัฒนาในทุกภาคส่วนของลอรีอัลกรุ๊ป www.loreal.com