นายอริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) เผยแผนการดำเนินงานของช่อง 3 ในปี 2563 ในงาน “เปิดวิกบิ๊ก 3 เรื่องนี้เรื่องใหญ่” ซึ่งจัดที่พารากอนฮอลล์ ในวันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งปี 2563 เป็นปีที่ช่อง 3 ได้ผลิตรายการเพื่อมอบความสุขสู่ประชาชนมาครบ 50 ปี โดยนายอริยะได้ขึ้นเวทีกล่าวต้อนรับแขกผู้มีเกียรติในงานอันได้แก่ ลูกค้า เอเจนซี่ กลุ่มแฟนคลับ รวมถึงสื่อมวลชนหลากหลายแขนงรวมแล้วกว่าพันคน โดยในเวลาเดียวกันยังได้เปิดเผยถึงแนวทางการดำเนินงานต่อไปเพื่อให้ช่อง 3 เป็นแพลตฟอร์มของความบันเทิงที่ดีที่สุด เชื่อมโลกออนไลน์และทีวีเข้าด้วยกัน และการเป็นผู้นำการส่งออกคอนเทนต์ไปยังต่างประเทศต่อไป
นายอริยะได้เปิดเผยวิสัยทัศน์ในการดำเนินงานว่า “ปีนี้เป็นปีที่สำคัญของช่อง 3 นอกจากเป็นปีที่เราดำเนินงานมาครบ 50 ปีแล้ว ช่อง 3 ก็จะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาต่อไปซึ่งปีนี้จะเป็นปีที่เราจะผนวกทั้งออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันเพื่อให้ทันต่อโลกดิจิทัล ซึ่งยุทธศาสตร์ของช่อง 3 ต่อจากนี้ เราจะไม่เป็นแค่เพียงทีวี แต่ช่อง 3 คือ Content&Entertainment Platform เราจะไม่หยุดพัฒนาทั้งในเรื่องของคอนเทนต์และการปรับผังรายการตามพฤติกรรมของผู้ชมเราจะมีการปรับโฉมออนไลน์แพลตฟอร์มของเราเป็น 3 + (สาม-พลัส) เราจะต้องเข้าถึงและเชื่อมต่อกับผู้ชมให้มากขึ้นด้วยกลยุทธ์ที่เรียกว่า D2C หรือ Direct to Consumersและ ช่อง 3 จะต้องเป็นผู้นำในการนำคอนเทนต์ไทยไปสู่ธุรกิจในต่างประเทศอีกด้วย”
โดยนายอริยะ ได้เปิดเผยต่อไปว่า “หัวใจหลักของเราคือคอนเทนต์ เรามุ่งมั่นสร้างสรรค์ Content ใหม่ๆ เพื่อผู้ชมของเราเสมอ สิ่งที่จะเกิดขึ้นบนหน้าจอ คือการปรับผังรายการตั้งแต่เวลา 18.00-22.30 น. ซึ่งยังคงเป็นช่วงเวลาที่มีจำนวนผู้ชมมากที่สุด โดยช่วง 18.00 น. ที่ปัจจุบันเป็นละครรีรันก็จะมีรายการใหม่เข้ามา โดยกำหนดไว้ 3 รายการ แต่จะเปิดตัวก่อน 1 รายการ คือรายการ สกิดใจโชว์ โดยจะอยู่ในไตรมาสที่ 2 ส่วนในเวลา 19.00น.จะเป็นละครก่อนข่าวซึ่งจะครบรสและหลากหลายแนว ซึ่งเมื่อก่อนเราอาจจะเน้นแค่ละครหลังข่าว แต่ปีนี้เราจะเน้นละครก่อนข่าวด้วย เรียกว่าเป็น New Primetime ส่วนในเวลา 20.20น. ก็ยังเป็นเวลาของคอละครเราไม่ได้เปลี่ยนรูปแบบแต่เป็นการนำเสนอเรื่องราวที่กระชับเข้าเรื่องเร็วขึ้นและมีจุดหักมุมนี่คือช่วงเวลาที่จะเกิดขึ้นก่อนแล้วจะขยายไปยังช่วงเวลาอื่น”
ส่วน 3+ หรือโฉมใหม่ของออนไลน์แพลตฟอร์ม นายอริยะได้กล่าวต่อไปว่า“3+ จะเป็นการทำหน้าจอให้เป็นสื่อใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ชม ซึ่ง 3+ เป็นโฉมใหม่ของ Mello ที่เราจะเปิดตัวในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ โดยสิ่งที่แตกต่างจาก Mello คือ 3+ จะเป็นศูนย์รวมของช่อง 3 ทั้งหมดทั้งรายการข่าว รายการบันเทิง ภาพยนตร์ที่มีลิขสิทธิ์ออนไลน์ สามารถดูสดและรีรัน แถมมีลูกเล่นที่จะเชื่อมต่อทั้งจอทีวีและออนไลน์ คือการให้ “พ้อยท์”ที่เป็นสิทธิประโยชน์ เพื่อเป็นการขอบคุณผู้ที่ชมรายการและละครของเราผ่านทั้งหน้าจอทีวีและออนไลน์”
นอกจากสิ่งใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นแล้ว นายอริยะ ยังได้เพิ่มลูกเล่นใหม่ที่เรียกว่า D2C หรือDirect to Consumers ซึ่งได้อธิบายว่า “ D2C คือสิ่งที่เราจะทำใน 3+ โดยจะมี QR Codeที่จะเป็นการเชื่อมต่อกับทีวีด้วย ฉะนั้นต่อไปแบรนด์ที่โฆษณาบนช่อง 3 จะไม่ใช่แค่เรื่อง Branding หรือ Awareness แล้ว แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือผู้ชมสามารถสแกนโค้ดบนหน้าจอได้ทันที โทรเข้ามาผ่าน Call Center ของเรา และDrive Traffic ไปที่เจ้าของสินค้าได้เลย เป็นการสร้างยอดขายได้มากกว่าแค่จำสินค้าได้จากโฆษณาส่วนข้อมูลที่เราสะสมไว้ก็เป็นข้อมูลที่เราสามารถแชร์กับแบรนด์ได้ด้วย นอกจากนี้เรายังสามารถทำ CRM (Customer Relationship Management) เพราะเมื่อเราได้ข้อมูลแล้ว แน่นอนว่าเราจะสามารถ Cross Selling ได้ต่อ ซึ่งจะเป็นมิติใหม่ของสื่อในประเทศไทย และแคมเปญแรกที่จะเปิดตัวคือสิ้นเดือนกุมภาพันธ์”
และสุดท้ายคือเรื่อง ธุรกิจต่างประเทศ ซึ่งช่อง 3 ได้เริ่มมาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดย นายอริยะ ได้เปิดเผยถึงการดำเนินการจากครึ่งปีหลังของปี 2019 ว่า “จะเห็นได้ว่าในครึ่งปีหลังของปี 2019 ช่อง 3 เราเจาะที่ตลาดประเทศจีน ไต้หวัน ฮ่องกง มาเลเซีย อินโดนีเซีย เกาหลี ฟิลิปปินส์ ซึ่งวันนี้เราเริ่มเป็นที่รู้จักและเป็นที่ต้องการของต่างประเทศในภูมิภาคนี้มากขึ้นโดยเฉพาะตลาดจีนและตลาดอินโดไชน่า ซึ่งขนาดของประเทศจีนนั้นมีประชากรถึง 1,400 ล้านคน คือ 20 ล้านเท่าของประเทศไทย ถ้าเราสามารถสร้างปรากฏการณ์สัก 1 เรื่องที่สามารถตอบโจทย์ทั้งที่ไทยและจีนได้ ก็จะเรียกว่าเราไม่เพียงสร้างชื่อเสียงของช่อง 3 เท่านั้น แต่เรากำลังสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติอีกด้วย ซึ่งที่ผ่านมาไม่นานนี้เราก็มีการแถลงข่าวการจับมือระหว่างช่อง 3 และ TencentWeTv ซึ่งนั่นแค่เป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น และตอนนี้ก็มีพาร์ทเนอร์จากหลายที่ที่จะเข้ามาเริ่มทำ Co – Production กับเราแล้วเพื่อที่จะบุกตลาดจีน”
ซึ่งจากนี้ไป ช่อง 3 จะครบเครื่องในการดำเนินธุรกิจทั้งออนไลน์และออฟไลน์โดยเชื่อมต่อทั้งสองเข้าด้วยกันตอบสนองทั้งกลุ่มผู้ชมที่ชมทางหน้าจอโทรทัศน์ และ กลุ่มผู้ชมที่รับชมทางโลกออนไลน์ รวมถึงการปรับช่วงเวลาในช่วงไพร์มไทม์ใหม่ของช่อง 3 ตั้งแต่เวลา 18.00 น.ถึง 22.30 น. และ ต่อจากนี้แบรนด์สินค้าจะไม่เพียงซื้อเวลาโฆษณาแต่ผู้ชมจะสามารถติดต่อกับแบรนด์ได้โดยตรง นอกจากนี้การทำธุรกิจต่างประเทศ ก็จะเป็นการสร้างทั้งรายได้ของช่อง 3 และชื่อเสียงให้กับประเทศไทยต่อไป