BAM ได้รับการจัดอันดับเครดิตเป็นครั้งแรกจาก TRIS Rating

BAM ได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรจาก TRIS Rating บน Standalone Basis (อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัท) หลังจากเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ระดับ “A-” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นคง แข็งแกร่งขององค์กร

นายสมพร มูลศรีแก้ว กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM กล่าวว่า บริษัท ทริสเรตติ้ง จำกัด ได้ทำการจัดอันดับเครดิตองค์กรของ BAM เป็นครั้งแรกบน Standalone basis (อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัท) ที่ระดับ “A-” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ภายหลังจากการเปลี่ยนสถานะเป็นบริษัทมหาชนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อย่างเต็มตัวและกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ได้ลดสัดส่วนการถือครอง  หุ้นลง แต่ยังเป็นผู้ถือหุ้นหลัก และที่ผ่านมา FIDF ได้ชี้แจงไม่มีนโยบายขายหุ้น BAM เพิ่มเติม โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความเชี่ยวชาญและความเป็นผู้นำในธุรกิจบริหารสินทรัพย์  นอกจากนี้ ยังสะท้อนถึงรายได้หลักของบริษัทที่ค่อนข้างมั่นคงและแข็งแกร่ง ตลอดจนระดับการก่อหนี้ที่ต่ำ และการกระจายตัวที่ดีของแหล่งเงินทุน  ในขณะที่บริษัท ฟิทช์ เรตติ้งส์ (ประเทศไทย) ปรับเครดิตภายในประเทศเป็น BBB+(tha) และให้แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพพร้อมยกเลิกเครดิตพินิจเป็นลบ

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาบริษัทมีการดำเนินงานที่ดี ผลประกอบการมีกำไรมาอย่างต่อเนื่อง จึงได้รับความเชื่อมั่นจากสถาบันการเงินและนักลงทุนเป็นอย่างดี ทำให้บริษัทได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากหลายช่องทาง ส่งผลให้มีความหลากหลายของแหล่งเงินทุนทั้งส่วนที่เป็นเงินกู้จากสถาบันการเงินและตราสารหนี้หรือหุ้นกู้จากนักลงทุน

บริษัทคาดว่าผลการจัดอันดับเครดิตเรตติ้งดังกล่าวไม่น่าจะกระทบต่อต้นทุนทางการเงินมากนักเนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่าบริษัทมีแผนในการเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาระยะหนึ่งแล้ว จึงคาดว่านักลงทุนในตราสารหนี้ได้คำนึงถึงผลการจัดอันดับเครดิตเรตติ้งภายหลังการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว ประกอบกับคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ดังนั้นบริษัทคาดว่าต้นทุนทางการเงินจากการระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ใหม่จะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เช่นเดียวกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากสถาบันการเงิน ทั้งในส่วนที่ได้มีการลงนามในสัญญาเงินกู้ระยะสั้นและระยะยาวเรียบร้อยแล้ว และสินเชื่อส่วนที่จะได้รับเพิ่มเติมจากสถาบันการเงิน   ในอนาคต จึงคาดว่าต้นทุนทางการเงินโดยรวมของบริษัทจะไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด