เปิดอก “ผู้กองเบนซ์” เผยเส้นทางชีวิต เทรนเนอร์ด้านธุรกิจที่อดีตเคยเป็นข้าราชการตำรวจ สร้างรายได้ด้วยสติกเกอร์ไลน์ พร้อมเจาะเคล็ดลับสู่ความสำเร็จ ทำอย่างไรให้มีเงินใช้เดือนละล้าน!
ไม่ใช่ไล์ฟโค้ช แต่เป็นเทรนเนอร์
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีตำแหน่ง “ไลฟ์โค้ช” หรือเทรนเนอร์นักพูดให้กำลังใจชีวิตมากมาย บางรายสามารถสร้างคอร์สอบรม โกยรายได้เป็นกอบเป็นกำ เรียกว่าอาชีพนี้เริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นบนโซเชียลมีเดีย
ในเมื่อไม่เดือนที่ผ่านมานี้ หลายคนคงเคยได้ยินชื่อ “ผู้กองเบนซ์ – สี่ทิศ อ่ำถนอม” เป็นอีกหนึ่งนักพูดที่วางจุดยืนให้ตัวเองว่าเป็นเทรนเนอร์นักพูด อดีตข้าราชการตำรวจวัย 34 ปี เจ้าของเพจ “ผู้กองเบนซ์ – Capt.Benz” ที่โด่งดังจากการทำคลิปวิดิโอย่อยเนื้อหาธรรมะให้เป็นเรื่องเข้าใจง่าย ในสไตล์ แรง ชัด จัดหนัก จัดเต็ม ผลงานของเขากลายไวรัลว่อนโลกออนไลน์ และส่งให้มีผู้ติดตามเพจทะลุ 2,000,000 คนไปแล้ว
แม้จะมีแฟนคลับถึงหลักล้าน แต่ในขณะเดียวกันก็มีหลายต่อคนตั้งข้อสังเกตถึงเนื้อหาที่นำเสนอออกมา อย่างประเด็นดรามาล่าสุด คือคลิป “พระพุทธเจ้าทิ้งลูกเมีย” ที่เขาเรียกคนที่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าทิ้งลูกทิ้งเมียเป็น “เตรัจฉาน” ฟังดูเหมือนกับการกดคนอื่นให้ต่ำลงก็ไม่ปาน
ประกอบกับที่ผ่านมาเมื่อมีคนทักท้วง กลับกลายเป็นว่าถูกบล็อกและแบนออกจากเพจไปดื้อๆ รวมถึงเรื่องการนำเสนอในแต่ละคลิปที่ดู จะหยาบคายเกินความจำเป็นไปสักหน่อย
ชีวิตเปลี่ยนเพราะ “สติกเกอร์ไลน์”
ผู้กองเบนซ์เคยรับราชการติดยศร้อยตำรวจเอก และยังเคยปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หากมีเวลาว่างจากการทำงานเมื่อไร ก็เป็นต้องได้คิดหาช่องทางสร้างรายได้เสริมจากเงินเดือนที่ได้รับเสมอ
โชคดีที่เขาบังเอิญค้นพบช่องทางใหม่ในตอนนั้น นั่นก็คือการสร้างสติกเกอร์ไลน์ ที่ต้องใช้การสร้างสรรค์ตัวการ์ตูนขึ้นมา ทว่า…การวาดภาพกลับไม่ใช่งานที่เขาถนัดเอาเสียเลย
“วันนึงมีเวลากับสติกเกอร์ไลน์ชั่วโมงนึงก็เยอะมากแล้วครับ เพราะอยู่ใต้ลาดตระเวนวันนึงก็ 2 รอบ รายได้มันไม่ค่อยพอ เราก็เป็นคนที่แม้ว่าจะลาดตระเวนอยู่ รบอยู่ แต่เราก็หาทุกวิถีทางที่จะมีรายได้มากขึ้น จนกระทั่งไปเจอแอปพลิเคชันไลน์ ตัวเราเองเป็นคนที่ชอบสนุก ชอบกวนประสาทชาวบ้าน เวลาสั่งงานกันในไลน์กลุ่มทางการ เราก็ชอบส่งสติกเกอร์ไลน์ฟรี ที่แบบว่า…อั๊ย เจ้านายก็ด่า รุ่นพี่ก็ด่า”
ผู้กองเบนซ์เริ่มมีความคิดที่ว่าอยากมีรายได้มากขึ้น ทั้งอยากมีสติกเกอร์ไลน์ตำรวจด้วย เลยค้นหาข้อมูลดูในยูทูบ แล้วทำตาม ลองวาดสติกเกอร์ไลน์เอง จนมีสติกเกอร์ไลน์ชุด “ชีวิตประจำวันของตำรวจน้อย”
“ตัวแรกที่ได้คือ 3 เดือน กว่าจะวาดแล้วโอเคอันนี้สวย ที่เหลือก็ค่อยๆ วาดแล้วส่งไปญี่ปุ่น ก็พิจารณาอีกหลายเดือนกว่าจะผ่านก็เป็นปี ทำเสร็จเรียบร้อยก็ได้ตังค์มา เดือนที่ได้สูงสุดเดือนละแสน ได้จริงเว้ยเฮ้ย เราเริ่มทำแล้วมีไอเดียจากคนอื่นมา ทำ ตชด.มั่งสิ ทำสายตรวจมั่งสิ ทำตำรวจหญิงมั่งสิ เราก็ทำไปเรื่อยๆ แล้วชีวิตก็ดีขึ้นตามลำดับ”
หลังจากสติกเกอร์ไลน์ ชีวิตประจำวันของตำรวจน้อย ชุดแรกสำเร็จ เขาก็ผลิตชุดอื่นๆ ออกมา โดยยังคงอยู่ในคอนเซ็ปต์ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ทั้ง เรื่องวุ่นๆ ของตำรวจหญิง, เรารักด่านตรวจ, ตชด.ตำรวจชั้นดี และตำรวจดุ๊กดิ๊ก
เปิดคอร์สสอนทำสติกเกอร์ไลน์
แต่จุดที่เปลี่ยนทำให้เปลี่ยนชีวิตผู้กองหนุ่มคนนี้ ไม่ใช่จากการทำสติกเกอร์ไลน์ขาย หากแต่เป็นตอนที่มีคนมาขอให้สอนการทำสติกเกอร์ไลน์แบบออนไลน์ ซึ่งตรงนี้ได้สร้างรายได้ให้กับเขาแบบก้าวกระโดด และเป็นจุดเริ่มต้นสู่การเป็นโค้ชด้านการทำธุรกิจอย่างทุกวันนี้
“เราทำตั้งแต่ปี 56 คิดแค่ฉันมีรายได้จากการวาดรูป ฉันชอบเรื่องนี้แค่นั้นเลย พอปี 58 มีน้องเขาเห็นว่าเราทำสติกเกอร์ไลน์เป็นรายได้เสริมก็มาขอให้สอน แต่พอสอนฟรีเขาก็ไม่ตั้งใจ แต่เขาทิ้งมรดกทางความคิดที่ยิ่งใหญ่ไว้เลย คือเราสามารถสอนคนได้ โอเค ไม่เป็นไร เลยอัดคลิปแล้วบอกคนในเฟซบุ๊กจะสอนสร้างสติกเกอร์ไลน์ เราก็เลยตั้งราคา 2,500 ต่อคน ปรากฏว่าคนสนใจเยอะมาก ครั้งแรกที่โพสต์ลงไปแค่ 7 วัน รายได้ก็หลายแสน สิ่งนี้มันเป็นไปได้นี่หว่า เราเจอธุรกิจใหม่”
พอมีคนเรียนสติกเกอร์ไลน์แล้วถามว่า “ผู้กอง พูดหน้ากล้องยังไงให้มันมั่นใจ ไม่รู้สึกว่าเขินกล้อง” เราก็เฮ้ย…เรื่องนี้มันเป็นปัญหาของคนเหรอ ถ้าเราจะสอนเรื่องนี้มีใครสนใจบ้าง โพสต์ไปดื้อๆ คนก็พิมพ์มา สนใจๆๆ อันนี้สอนได้อีกเหรอวะเนี่ย (ดีดนิ้ว) ถ้าสอนได้ก็เอาเว้ย เลยโพสต์คอร์สชื่อ “พูดหน้ากล้องยังไงให้มีเงินใช้เป็นล้าน” ก็มีคนมาเรียน”
“เราทำประโยชน์ได้มากกว่าดาวบนบ่า”
“พ่อเป็นนักรบ เป็นทหารเสือราชินี ไปรบตั้งแต่เวียดนามใต้ เขาค้อ หล่มสัก เราได้ยินเรื่องราวแบบนี้มาแล้วก็ … ผู้ชายที่โตขึ้นมาแล้วได้ออกรบคือได้ทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติ เราก็รู้สึกว่า ต้องทำแบบนี้ให้ได้ ภาวนาเลยนะตอนเรียนจบมา มีสงครามๆๆ กูจะได้ออกรบ คิดแบบเด็กๆ ไง”
แม้อาชีพตำรวจตระเวนชายแดน ปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเป็นอาชีพในฝัน ที่ถูกถ่ายทอดผ่านยีนส์นักรบจากคุณพ่อผู้เป็นทหารกล้า แต่เมื่อมาถึงจุดจุดหนึ่ง ก็ทำให้ผู้กองหนุ่มคนนี้ ตัดสินใจหันหลังให้กับเส้นทางสายราชการ เพื่อเดินหน้าให้กับงานสายธุรกิจแทน
“เราทำธุรกิจ เราทำราชการ แล้วก็ถูกคำสั่งขึ้นมาอยู่กรุงเทพฯ เป็นทหารเสือราชินี ตอนแรกมีคนเชิญไปนู่นไปนี่ ก็พอเจียเวลาไปได้ แต่พอมีคนเชิญมากเข้าๆๆ มันเริ่มที่จะต้องลาราชการเป็น 10 วันเพื่อไปทำธุรกิจ เลยรู้สึกว่า นี่มันเบียดบังเวลาราชการ บางทีเราต้องไปต่างประเทศต้องขออนุญาตผู้บังคับบัญชา ก็เลยถึงจุดที่ตัดสินใจ จะทำธุรกิจหรือเป็นตำรวจต่อไป ปรากฏว่าชั่งใจไปมา ธุรกิจดีกว่า เราทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์มากกว่าดาว (บนบ่า) ของเรา อิมแพคที่เราสร้างให้ผู้คนมันใหญ่กว่าดาว”
สำหรับสาเหตุที่ลาออกนั้น อดีต ตชด. ให้เหตุผลว่าหากออกทำธุรกิจอย่างเต็มตัว จะสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้มากกว่า ไม่ใช่เพราะงานข้าราชการเงินน้อยตามที่มีกระแสดรามาไปก่อนหน้านี้
หมดหลายล้าน สู่การเป็นเทรนเนอร์!
“ผมสอนออนไลน์เสร็จปุ๊บแล้วมาทำออฟไลน์ แต่ไม่มีองค์ความรู้ ไม่รู้จะพูดยังไง ก็เลยมีโอกาสได้ไปเข้าคอร์สคอร์สนึง ของฝรั่ง ผมก็ลงทุนเลยหมดเงินไปหลายล้านเพื่อเป็นเทรนเนอร์ตามแนวทางของ แบลร์ ซิงเกอร์ (Blair Singer) เป็นเทรนเนอร์ด้านจิตวิญญาณ เราเรียนลึกเข้าๆ เขาเป็นคนที่จิตวิญญาณสูงส่งมาก เหมือนพระรูปนึง ทุกวันนี้ก็ไปเรียนกับเขาอยู่ เรียนที่สิงคโปร์ ที่เวียดนาม มันหลายหลักสูตร 1-6 เก็บครบจนได้ certify ระหว่างเรียนก็สอนไปด้วย แต่จุดที่ตัดสินใจสอนออฟไลน์คือหลังจากที่เราเรียนกับแบลร์นั่นแหละ พอเขาสอนถึงจุดจุดนึงเราก็เอากระบวนการนี้มาเปลี่ยนคนภายใต้ certify ของเขาได้จริงๆ”
แม้จะมีสกิลด้านการพูดมากเพียงใด แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอสำหรับการสอน ผู้กองเบนซ์ หลังจากตัดสินใจออกจากงานราชการอย่างเต็มตัวเมื่อ 2 ปีที่แล้ว และหันมาเอาดีด้านการเป็นครูฝึกหรือเทรนเนอร์ ภายใต้หลักสูตรของ แบลร์ ซิงเกอร์ เทรนเนอร์ระดับตำนานที่เหล่าเทรนเนอร์ชั้นนำให้การยอมรับ เขาย้ำว่าสิ่งที่ทำอยู่ ไม่ใช่การเป็นไลฟ์โค้ช ตามที่ทุกคนเข้าใจ
“ไปเรียนวิชาเทรนเนอร์ ว่าเทรนเนอร์ที่ดีต้องมีกระบวนการยังไง พาคนจากจุดนึงไปอีกจุดนึงต้องทำยังไง ผมไม่ใช่ไลฟ์โค้ช ผมโค้ชคนเรื่องชีวิตไม่เป็น ผมอาจจะตั้งคำถามคนเป็น ทำให้คนคิดอะไรได้ แต่โดนเนื้อแท้ โดยธุรกิจตอนนี้ ผมเป็นเทรนเนอร์คือวิทยากรกระบวนการ”
อยากมีเงินล้าน ต้องมี “3C”
“รายได้หลักมาจากการสอนออนไลน์ แล้วมันก็แตกไลน์ไปมีธุรกิจอื่นๆ ที่แฝงอยู่ในนั้น รับบรรยาย ที่ปรึกษา ไปเป็นพันธมิตรกับเจ้าอื่น ไม่ใช่แค่สอนอย่างเดียว ทำวิดีโอเฟซบุ๊ก พอโฆษณาแทรกตังค์มาแล้ว เดือนนึงก็ 2-3 แสน ดูแลคนของเราได้ ทีมงานตั้ง 11 คน ถ้าอยากให้ชีวิตพัฒนา ทำธุรกิจซะ ได้อะไรจากตรงนี้เยอะมาก”
เราต้องทำให้ได้อย่างน้อยเดือนละล้าน เพราะว่ามันเป็นซิกเนเจอร์เรา เราสอนคนเดือนละล้านทำได้ เราก็ต้องทำให้ได้ตามมาตรฐาน ผมส่งรายได้ปีก่อนหน้านั้น 10 ล้าน ปีที่แล้วส่งแบบจริงจังเต็มเม็ดเต็มหน่วย 13 ล้าน แสดงว่าเราก็ทำได้ แล้วปีนี้เปิดศักราชมาแค่ 2 เดือน เราก็ซัดไป 5 ล้านกว่า
เวลาคนทำออนไลน์ผมจะให้เขา “3C” 1.Content คุณจะต้องชัดเจนว่าทำอะไร 2.Consistency ต้องสม่ำเสมอ เสมอต้นเสมอปลาย เคยโพสต์เวลานี้ ทำอย่างนี้ๆ แล้วก็คงเส้นคงวา พลังงานคุณเป็นแบบไหน สไตล์การนำเสนอเป็นแบบไหน 3.Charisma ต้องเจอให้ได้ว่าเสน่ห์ของคุณคืออะไร
ยืนอยู่ในหลักการ 3 อย่างนี้ ยังไงก็ประสบความสําเร็จแน่นอน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดใน “3C” คือ Consistency ผมไม่รู้หรอกว่าผมมีเสน่ห์เรื่องอะไร จนมีคนมาบอกมากเข้าๆ พูดธรรมะยากๆ ให้เข้าใจง่ายได้ แล้วก็พูดเข้าไปถึงใจ Charisma ของเราคือการทำเรื่องยากๆ ให้เข้าใจง่าย แล้วเราก็เป็นแบบนี้จริงๆ
มีคนเคยแขวะผมว่าเป็นประทัด เสียงดังปุ๊บหมายังหัน โคตรแรงเลย มันมี 3 อย่าง ประทัด ประทับ ประทีป คุณเป็นประทัดทำได้แค่หมามอง คุณต้องประทับในใจคนคนจะจำคุณ แต่ดีที่สุดคุณต้องเป็นประทีป เป็นแสงสว่างของเขา แต่ผมบอก “กูเป็นประทีปที่ผูกประทัด”