“เจพีประกันภัย” เดินกลยุทธ์ความร่วมมือในการทำงานร่วมกัน (Synergy) กับพันธมิตรเพื่อต่อยอดธุรกิจ สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์ลูกค้า พร้อมกางแผนจัดพอร์ตประกันภัยรถยนต์และประกันภัยที่ไม่ใช่รถใน 3 ปีข้างหน้า อยู่ในสัดส่วน 50:50% เปิด 3 มุมมองสร้างโอกาสให้ธุรกิจในยุคดิสรัปชั่น ตอบสนองแก้ปัญหาลูกค้าตรงจุด เผย ปี 2562 บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวมเติบโตถึง 100% จากปี 2561 มั่นใจเบี้ยประกันภัยรับรวมจะเติบโต 15% ต่อปี ชี้ประกาศลงทุนใหม่ของ คปภ. หนุนบริษัทหาโอกาสลงทุนอินชัวร์เทคทรานซ์ฟอร์มสู่ผู้นำอินชัวร์เทค โชว์ฐานะการเงินแแข็งแกร่ง สินทรัพย์รวม 664 ล้านบาท โดยมีกลุ่มเจมาร์ทเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 55%เชื่อมั่นสร้างศักยภาพทางการเงินมั่นคง
ดร.ฉัตรชัย ธนาฤดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เจพีประกันภัย จำกัด(มหาชน) หรือ JP ซึ่งเป็นบริษัทประกันในเครือเจมาร์ท เปิดเผยว่า ในปี 2563 นี้บริษัทยังคงต้องการการเติบโตทั้งสองธุรกิจคือ ธุรกิจประกันภัยรถยนต์(มอเตอร์) และธุรกิจประกันภัยที่ไม่ใช่รถ(Non-Motor) โดยเน้นการเติบโตทางด้านกำไรเป็นหลัก ซึ่งมีแผนจะจัดการสัดส่วนการรับประกันภัยให้มีความสมดุลกันระหว่างประกันภัยรถยนต์และประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ในสัดส่วน 70:30% ในปีนี้ และจะปรับสัดส่วนเป็น 50:50% ในอีก 3 ปีข้างหน้า (2563-2565)
“แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจของไทยปัจจุบัน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 แต่กลุ่มยานยนต์สมัยใหม่, กลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยว, กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์, กลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ กลุ่มธุรกิจหุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม และกลุ่มธุรกิจดิจิทัล ก็ยังคงเป็นกลุ่มธุรกิจที่เป็น S-Curve ที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้ ดังนั้น บริษัทจึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อสนับสนุนและแก้ปัญหาให้กับกลุ่มธุรกิจนี้เป็นหลัก
และด้วยไลฟ์สไตล์ของคนที่หลากหลาย มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบสมาร์ทดีไวซ์ ทำให้บริษัทมองถึงความร่วมมือในการทำงานร่วมกัน(Synergy) ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์ลูกค้า อาทิ แคมเปญ Jaymartwecareช่วงวันวาเลนไทน์ ที่มีผลิตภัณฑ์ประกันภัยเข้าร่วมอยู่ในแคมเปญตามคอนเซ็ปต์แคมเปญ “ดูแลเครื่อง ดูแลคุณ” ได้แก่ ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล ประกันภัยความรับผิดต่อผลิตภัณฑ์ รวมทั้งมีการจัดรายการส่งเสริมการขายประกันภัยร่วมกับเจมาร์ท อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ ให้กับลูกค้าที่มาซื้อสินค้าที่ร้านเจมาร์ท ทำให้โครงการนี้นอกจากจะดูแลเครื่อง (โทรศัพท์) ดูแลลูกค้าแล้ว ยังดูแลไปถึงความปลอดภัยในทรัพย์สินของลูกค้าของเจมาร์ทอีกด้วย ซึ่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยและทำตลาดให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบัน
ผ่านช่องทางกลุ่มบริษัทต่างๆในเครือเจมาร์ท (synergy ecosystem) จะเป็นทิศทางที่สำคัญของ เจพี ประกันภัย”
แม้ในปีนี้จะเรียกได้ว่าเป็นโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยดิสรัปชั่น และมีความยากในการทำธุรกิจเพิ่มมากขึ้น เรากลับมองว่ายุคดิสรัปชั่นยังเป็นความท้าทายของบริษัทที่จะไม่ให้ถูกกลืนไปกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยบริษัทได้เตรียมความพร้อมในการสร้างโอกาสทางธุรกิจในยุคดิสรัปชั่น โฟกัสผ่าน 3 มุมมองหลัก ประกอบด้วย
มุมมองที่ 1 การเปลี่ยนแปลงรูปแบบและกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ (Business Model &StrategyTransformation) คือต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ในการบริหารงานและรูปแบบของการทำธุรกิจ เช่น กล้าที่จะออกผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน โดยไม่ยึดติดกับรูปแบบธุรกิจหรือช่องทางการขายเดิมๆ
มุมมองที่ 2 ด้านทักษะของคนในองค์กรเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคดิสรัปชั่น คนในองค์กรจึงต้องมีทักษะการทำงานหลายๆ ด้าน (Multi-Skills) โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีทักษะทางด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีรวมถึงต้องมีความกล้าที่จะใช้ดาต้า (Data)ในการขับเคลื่อนองค์กร นำมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้เข้าใจความต้องการ และทราบถึงปัญหาลูกค้าอย่างแท้จริง เหมือนการเข้าไปนั่งในใจลูกค้า
มุมมองที่ 3 กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานทั้งภายในองค์กร และกระบวนการทำงานที่ต่อเนื่องกับคู่ค้าและพันธมิตรภายนอก
“จากมุมมองทั้ง 3 ด้านนั้น บริษัทจึงกำหนดนโยบาย พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อให้ตอบสนองและแก้ปัญหาอุปสรรค (Pain points) ให้กับลูกค้าได้อย่างตรงใจ โดยในปีนี้จะยังคงตอกย้ำมุมมองทั้ง 3ด้านให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น” ดร.ฉัตรชัยกล่าว
สำหรับเป้าหมายเบี้ยประกันภัยรับรวม บริษัทคาดว่าจะมีอัตราเบี้ยประกันภัยรับรวมเติบโตขึ้น 15% จากปีก่อน และตั้งเป้าเติบโตด้านกำไรอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ในช่วงปี 2562 ที่ผ่านมา บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวมเติบโตถึง 100% จากปี 2561 ซึ่งเป็นผลจากการที่บริษัทโฟกัสผลกำไรของแต่ละเดือนมาโดยตลอด และเห็นได้ว่าบางเดือนเริ่มกลับมามีกำไรบ้างแล้ว จึงถือได้ว่าเป็นสัญญาณที่ดี
ดร.ฉัตรชัย กล่าวว่า ในส่วนของประกาศการลงทุนฉบับใหม่ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)ซึ่งมีนโยบายในการขยายเพดานการลงทุนทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ถือเป็นสิ่งที่ดีต่อการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชั่น และยังเป็นโอกาสที่ดีของบริษัทที่จะมองหาการลงทุนในด้านอินชัวร์เทค (InsurTech) ได้เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับปัจจุบันบริษัทวางตำแหน่งและกำลังทรานส์ฟอร์มบริษัทไปในทิศทางอินชัวร์เทคอยู่แล้ว จึงมองว่าประกาศการลงทุนฉบับใหม่จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพทางด้านการลงทุนของบริษัทได้เพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
“ปัจจุบัน เจพี ประกันภัย มีสินทรัพย์อยู่ที่ 664 ล้านบาท หากเทียบกับปีที่ผ่านมามีสินทรัพย์โตขึ้นในอัตราร้อยละ 14 โดยมีกลุ่มเจมาร์ทเข้ามาร่วมทุนในสัดส่วนการถือหุ้นมากที่สุด 55% ถือเป็นการสร้างความมั่นคงทางการเงินของบริษัท ให้มีศักยภาพและความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น”