Baby Swimming (เบบี้ สวิมมิ่ง) โรงเรียนสอนว่ายน้ำเด็กและทารกมาตรฐาน ISO แห่งเดียวในประเทศไทย เปิดแผนธุรกิจในยุค New Normal ตอบรับวิถีชีวิตปกติใหม่ ชูมาตรฐานความปลอดภัยตามหลัก Social Distancing
เล็งขยายธุรกิจเพิ่มในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งหัวเมืองใหญ่ทั้งในรูปแบบลงทุนเอง ร่วมทุน และแฟรนไชส์ เปิดแผนปี 2564 ปูพรมขยายสาขาทั่วประเทศรวมอย่างน้อย 15 แห่ง ตอบรับแนวโน้มตลาดเติบโตสูงหลังโควิด-19 ที่ผู้ปกครองยังคงมีความต้องการให้บุตรหลานได้เรียนว่ายน้ำ ซึ่งถือเป็นทักษะชีวิตอย่างหนึ่งที่สำคัญและขาดไม่ได้
ดร.พลภัทร และคุณณัฏฐ์วิภา นิติธรรมยง ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร Baby Swimming (เบบี้ สวิมมิ่ง) โรงเรียนสอนว่ายน้ำเด็กทารกและเด็กเล็กมาตรฐาน ISO แห่งเดียวในประเทศไทย กล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา ทำให้ธุรกิจของ เบบี้ สวิมมิ่ง ต้องหยุดชะงักไปชั่วคราว เนื่องจากไม่สามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม หลังจากรัฐบาลมีมาตรการผ่อนคลาย บริษัทได้เปิดให้บริการอีกครั้งตามวิถีปกติแบบใหม่ (New Normal)โดยให้ความสำคัญกับมาตรฐานความปลอดภัย ความสะอาด และมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing)เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับคุณพ่อคุณแม่ที่นำบุตรหลานมาใช้บริการ
ทั้งนี้ บริษัทเป็นโรงเรียนสอนว่ายน้ำแห่งแรกในประเทศไทยที่นำแอปพลิเคชั่น “หมอชนะ” มาใช้ป้องกันและคัดกรองด้วยการเก็บประวัติการเดินทางและการพบปะผู้คนของคุณครู พนักงาน คุณพ่อคุณแม่และน้องๆ สมาชิกทุกคนล่วงหน้าเป็นเวลา 1 เดือน ก่อนเปิดให้บริการหลังโควิด-19 รวมทั้งปรับกิจกรรมการเรียนการสอนว่ายน้ำ ลดการสัมผัสระหว่างครูผู้สอนและนักเรียนในคลาสเรียนว่ายน้ำ จำกัดผู้เรียนในแต่ละคลาส และใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเข้มงวด ทั้งผู้มาใช้บริการ พนักงาน และครูผู้สอนในแต่ละคลาสเรียน เพื่อลดการสัมผัสให้น้อยที่สุด และมีการทำความสะอาดจุดเสี่ยงต่างๆ ทุกๆ ครึ่งชั่วโมง เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ปกครองเรื่องความสะอาดปลอดภัยในการนำบุตรหลานมาใช้บริการเรียนว่ายน้ำ
“การระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้เราต้องหยุดให้บริการ แต่เราไม่หยุดที่จะใช้โอกาสนี้เพื่อพัฒนาและปรับปรุงการให้บริการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วยการ 1) ปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดรับกับวิถีการใช้ชีวิตแบบใหม่ผ่านการประชุม VDO conference กับทีมคุณครูทุกสาขาทุกสัปดาห์ 2) ฝึกอบรมออนไลน์เกี่ยวกับเทคนิคการสอนใหม่ๆ และการให้บริการแก่คุณครูทุกสาขา 3) ปรับปรุงระบบเทคโนโลยีหลังบ้านเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล 4) ปรับปรุงสระว่ายน้ำและบริเวณโดยรอบ และ 5) หาโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เพื่อต่อยอดจากธุรกิจเดิม ซึ่งทั้ง 5 อย่างนี้อาจจะทำได้ยากหรือไม่มีเวลาบริหารจัดการอย่างเต็มที่ในช่วงเวลาปกติ” ดร.พลภัทร กล่าว
อย่างไรก็ตาม จากความต้องการเพิ่มทักษะด้านการว่ายน้ำของเด็ก และจำนวนโรงเรียนสอนว่ายน้ำเด็กและทารกที่ยังมีจำนวนไม่เพียงพอ หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย บริษัทจะเร่งขยายธุรกิจโรงเรียนสอนว่ายน้ำเด็กและทารก เบบี้ สวิมมิ่งมากขึ้นใน กรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ทั้งในรูปแบบการลงทุนเอง การร่วมทุน และแฟรนไชส์ โดยตั้งเป้าหมายว่าในปี 2564 จะเปิดสาขาใหม่อีกอย่างน้อย 4 สาขา รวมกับที่เปิดให้บริการแล้วในปัจจุบัน 11 แห่ง เป็นทั้งหมด 15 สาขา โดยใช้งบลงทุนอย่างน้อย 40 ล้านบาท ไม่รวมค่าที่ดิน ซึ่งในขณะนี้อยู่ในระหว่างก่อสร้าง 2 สาขา และอีก 2 สาขาอยู่ในระหว่างการออกแบบ
คุณณัฏฐ์วิภา ให้ความเห็นสำหรับผู้ที่สนใจธุรกิจที่เกี่ยวกับเด็กและครอบครัวว่ายังมีแนวโน้มในการเติบโตอีกมาก ถึงแม้อัตราการเกิดใหม่ของเด็กทารกจะลดลง แต่ครอบครัวจะให้ความสำคัญและทุ่มเทในการพัฒนาศักยภาพของเด็กมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในวิถีชีวิตปกติรูปแบบใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มาตรฐานความปลอดภัยและความสะอาดของสินค้าและบริการที่เกี่ยวกับแม่และเด็กจะได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากยื่งขึ้น สำหรับ เบบี้ สวิมมิ่ง นอกจากแผนการขยายสาขาแล้ว บริษัทยังมีแผนขยายธุรกิจเกี่ยวกับแม่และเด็กเพื่อต่อยอดจากโรงเรียนสอนว่ายน้ำไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ ร่วมกับพันธมิตรอื่นๆ มากขึ้นด้วย
สำหรับผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.babyswimmingthailand.com