วันนี้ ไอบีเอ็มได้ประกาศลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหลือศูนย์ภายในปี 2573 สานต่อความพยายามที่มีมาหลายทศวรรษในการร่วมแก้วิกฤตโลกร้อน และเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ไอบีเอ็มจะเริ่มเดินหน้าลดการปล่อยมลพิษ วางแผนและควบคุมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมถึงเพิ่มการใช้พลังงานสะอาดในสำนักงานที่มีอยู่ใน 175 ประเทศ
“ไอบีเอ็มมีความภูมิใจในฐานะผู้นำที่ได้เดินหน้าดำเนินมาตรการต่างๆ ที่ช่วยลดการปล่อยมลพิษลงได้อย่างมีนัยสำคัญ” นายอาร์วินด์ กฤษณะ ประธานและซีอีโอของไอบีเอ็ม กล่าว “วิกฤตโลกร้อนเป็นหนึ่งในปัญหาที่สำคัญที่สุดในยุคของเรา และการปฏิญาณตั้งคำมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือศูนย์ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวย่างสำคัญที่ตอกย้ำความเป็นผู้นำในเรื่องสภาวะอากาศมาอย่างยาวนานของเรา ซึ่งถือเป็นก้าวที่รุดไปไกลกว่าเป้าหมายที่ความตกลงตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Climate Agreement) ได้กำหนดไว้”
เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ไอบีเอ็มวางแผนที่จะ
- ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 65% ภายในปี 2568 เมื่อเทียบกับปี 2553 ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศคือการลดการปล่อยมลพิษ โดยเป้าหมายเป็นศูนย์ที่ไอบีเอ็มตั้งไว้ จะเชื่อมโยงกับเป้าหมายตัวเลขการลดมลพิษที่ยังเหลือค้างอยู่ หลังจากที่ได้พยายามลดมลพิษที่เกิดจากการปฏิบัติการต่างๆ ไปก่อนหน้าแล้ว
- จัดหา 75% ของพลังงานไฟฟ้าที่บริษัทต้องใช้ในสำนักงานทั่วโลก จากแหล่งพลังงานหมุนเวียนภายในปี 2568และ 90% ภายในปี 2573
- ใช้เทคโนโลยีที่เป็นไปได้ อย่างการจับคาร์บอน (ในปี หรือภายในปี 2573) เพื่อลดปริมาณการปล่อยมลพิษในปริมาณที่เท่ากับหรือมากกว่าระดับมลพิษที่เหลือค้างอยู่ หลังจากความพยายามของไอบีเอ็มในการลดการปล่อยมลพิษลงก่อนหน้านี้
การประกาศคำมั่นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือศูนย์ของไอบีเอ็มยังนำสู่การตั้งเป้าหมายระยะใกล้ที่กำหนดภาระรับผิดชอบและกรอบความก้าวหน้าในเรื่องดังกล่าว โดยบริษัทฯ จะมีการคำนวณและรายงานการใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างโปร่งใส ตัวอย่างเช่น เป้าหมายของไอบีเอ็มกำหนดขึ้นจากปริมาณพลังงานที่บริษัทบริโภคจริง ไม่ใช่การซื้อใบรับรองการใช้พลังงานหมุนเวียนที่ไม่เกี่ยวข้องหรือแยกส่วนออกไป
ภายใต้การตั้งคำมั่นของไอบีเอ็มในเรื่องความยั่งยืน รวมถึงการมุ่งใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาท้าทายของสังคมนี้ ศูนย์วิจัยไอบีเอ็มยังได้เปิดตัวโครงการ Future of Climate ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อเร่งการวิจัยพัฒนาโซลูชันที่จะช่วยลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ
นักวิจัยไอบีเอ็มกำลังร่วมกับทั้งลูกค้าและคู่ค้าในการผนวกความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ ไฮบริดคลาวด์ และควอนตัมคอมพิวติง รวมถึงวิทยาศาสตร์เพื่อต่อกรกับปัญหาเกี่ยวกับสภาพอากาศที่มีความซับซ้อน อาทิ การเพิ่มขึ้นของคาร์บอนฟุตปริ้นท์จากเวิร์คโหลดจากระบบคลาวด์และดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วโลก วิธีการที่จะกำหนดโมเดลและประเมินความเสี่ยงของแพทเทิร์นสิ่งแวดล้อมและสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปได้อย่างถูกต้อง หรือการพัฒนาโพลิเมอร์ เยื่อบุผิว และวัสดุใหม่ๆ ที่สามารถจับและดูดซับคาร์บอนโดยตรงจากจุดที่มีการปล่อยมลพิษ เป็นต้น
ไอบีเอ็มให้การสนับสนุนด้านความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมมาต่อเนื่องหลายทศวรรษ นับตั้งแต่การประกาศนโยบายสิ่งแวดล้อมของบริษัทเป็นครั้งแรกในปี 2514 นับตั้งแต่ปี 2533 เป็นต้นมาไอบีเอ็มยังได้เริ่มเผยแพร่ผลการบริหารจัดการขยะ การอนุรักษ์พลังงาน การใช้พลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน การลดการปล่อยคาร์บอนไดอ็อกไซด์ รวมถึงการพัฒนาโซลูชันนวัตกรรมต่างๆ ในรูปแบบรายงานสิ่งแวดล้อมประจำปีขององค์กร (Corporate Environmental Report) ในปี 2550 ไอบีเอ็มประกาศต่อสาธารณะถึงจุดยืนในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศถือเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างใหญ่หลวง และจำเป็นต้องได้รับความร่วมมืออย่างจริงจังในระดับโลก เพื่อช่วยกันรักษาระดับความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศให้สมดุล” โดยบริษัทฯ ได้ร่วมสนับสนุนความตกลงตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปี 2558และต่อมาในปี 2560ได้ร่วมตอกย้ำถึงความจำเป็นที่สหรัฐอเมริกาต้องเดินหน้าสนับสนุนความตกลงฯ ดังกล่าวต่อไป ในปี 2562ไอบีเอ็มเป็นหนึ่งในสมาชิกก่อตั้งของ Climate Leadership Council อีกทั้งยังให้การสนับสนุนแผนการจัดเก็บภาษีคาร์บอนของพรรคร่วมรัฐบาล ให้นำจ่าย 100% ของเงินสุทธิเป็นเงินปันผลคาร์บอนแก่ประชาชน
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทบาทผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมของไอบีเอ็ม สามารถดูได้ที่ https://www.ibm.com/environment/