บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ประกาศผลประกอบการปี 2563 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง สวนกระแสตลาด โดยเป็นการเติบโตเหนือกว่าอุ ตสาหกรรมต่อเนื่องติดต่อกันเป็ นปีที่ห้า ทั้งนี้สำหรับไตรมาส 4/2563 บริษัทมียอดรับรู้รายได้ที่ 1,750.9 ล้านบาท ขยายตัว 42% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ยอดรับรู้รายได้ทั้งปี 2563 อยู่ที่ 5,764.6 ล้านบาท ขยายตัว 24.2% จากปีก่อนหน้า ในขณะที่บริษัทยังคงสามารถบริ หารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดีเหนือค่าเฉลี่ ยของตลาดมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมีกำไรพิเศษเข้ามาในปี 2563 จำนวน 155.7 ล้านบาทจากโครงการที่อยู่ ในแนวเวนคืน ส่งผลให้กำไรสุทธิในปี 2563 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1,333.2 ล้านบาท หรือคิดเป็นการขยายตัวจากปีก่ อนหน้า 49.5%
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้แนวคิด “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” กล่าวว่า ในปี 2563 ที่ผ่านมา นับเป็นปีที่ทั่วโลกต้องเผชิญกั บการระบาดของ COVID-19 ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ อเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงเศรษฐกิจของประเทศไทย โดย GDP ทั้งปีของไทย หดตัวไป 6.1% ภาคอสังหาริมทรัพย์ก็ได้รั บผลกระทบเช่นเดียวกัน แต่ด้วยบริษัทเน้นกลยุทธ์ การทำตลาดที่เน้นลูกค้า Real Demand มาอย่างชัดเจน จึงได้รับผลกระทบที่น้อยกว่า โดยบริษัทได้พยายามคัดสรรทำเลที่ มีศักยภาพ ตลอดจนพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์อย่ างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนอง Customer Insights อย่างแท้จริง จึงทำให้บริษัทยังคงสามารถบริ หารงานผ่านปีที่ยากลำบากไปได้ โดยยังมีผลประกอบการที่เติบโต
โดยสำหรับผลประกอบการปี 2563 บริษัทมียอดรับรู้รายได้ที่ 5,764.6 ล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้น 24.2% ซึ่งเป็นการทำได้ดีกว่าเป้ าหมายที่ตั้งเอาไว้ ซึ่งไม่เพียงแต่ Top Line ที่ขยายตัวได้ดี ในส่วนของ Bottom Line หรือกำไรสุทธิก็ขยายตัวสูงถึง 49.5% ทั้งนี้อันเนื่องมาจากการที่บริ ษัทสามารถบริหารจัดการต้นทุนต่ างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนการก่อสร้าง ต้นทุนด้านการขาย ต้นทุนด้านการบริหาร ตลอดจนต้นทุนทางด้านการเงิน โดยในปี 2563 นี้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ 39.2% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุ ตสาหกรรม ในขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย (SG&A/Sales) อยู่ที่ 9.2% ซึ่งปรับลดลงจากในปีก่อนหน้าซึ่ งอยู่ที่ 11.0% นอกจากนี้ ในปี 2563 นี้ บริษัทมีการรับรู้กำไรพิเศษที่ เกิดจากการเวนคืนโครงการหนึ่ งของบริษัท จำนวน 155.7 ล้านบาท ส่งผลให้ในปี 2563 นี้ บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,333.2 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 49.5% ซึ่งถ้าหากหักรายการกำไรพิ เศษออก กำไรสุทธิจากการดำเนิ นงานตามปกติ จะขยายตัวที่ราว 35.6%
ทั้งนี้บริษั ทดำรงสถานะทางการเงินที่แข็ งแกร่ง โดยในส่วนโครงสร้างเงินทุน บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ที่ลดลงจาก 0.75 เท่า ณ สิ้นปี 2562 มาอยู่ที่ระดับเพียง 0.67 เท่า ณ สิ้นปี 2563 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ ยโดยรวมของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ ราว 1.4 – 1.5 เท่า อย่างมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิ ภาพในการบริหารจัดการ ตลอดจนการบริหารความเสี่ยงด้ านการเงินอย่างรัดกุมของบริษัท และสะท้อนถึ งความสามารถในการขยายธุรกิจได้ อีกมาก โดยไม่มีปัญหาทางด้านสภาพคล่อง และแหล่งของเงินทุนที่จะใช้ ในการขยายกิจการ ทั้งนี้โดยปกติบริษัทจะมี การใช้แหล่งเงินกู้ที่ หลากหลายทั้งระยะสั้น และระยะยาว ตลอดจนมีการกระจายพันธมิตรสถาบั นการเงิน ไม่พึ่งพิงสถาบันใดสถาบันหนึ่ งแต่เพียงแหล่งเดียว โดยมีวงเงินสำรองที่ยังไม่ได้ เบิกใช้อีกจำนวนมาก ซึ่งสามารถรองรับการขยายธุรกิจ หรือสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริ ษัท ได้มีมติเห็นชอบจัดสรรกำไรสำหรั บปี 2563 ให้กับผู้ถือหุ้น โดยเสนอให้จ่ายเงินปันผลรวมทั้ งปีในอัตราหุ้นละ 0.61 บาท ซึ่งหากคิดที่ราคาหุ้นปัจจุบัน คิดเป็น Dividend Yield อยู่ที่ระดับกว่า 7.0% โดยบริษัทได้จ่ายเงินปั นผลระหว่างกาลไปแล้วที่ 0.25 บาท ดังนั้นจะเหลือจ่ายเพิ่มเติมอีก 0.36 บาทต่อหุ้น โดยเป็นการจ่ายจากผลการดำเนิ นงานปกติ 0.30 บาทต่อหุ้น และกำไรพิเศษจากการเวนคืน 0.06 บาทต่อหุ้น โดยได้กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 17 มีนาคม 2564 (หรือขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 16 มีนาคม 2564) และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 โดยจะนำเสนอการจ่ายปันผลดังกล่ าวเข้าสู่ที่ประชุมสามัญผู้ถื อหุ้นประจำปี 2564 ในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ต่อไป