กลุ่มธนาคารยูโอบีซึ่งมุ่งเน้นภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประกาศรายได้รวมที่ 9.18 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2.91 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ สำหรับปีงบการเงินสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจและกิจกรรมทางธุรกิจที่กำลังฟื้นตัวทั่วภูมิภาค ส่งผลให้กำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 4 ปี 2563 สูงขึ้นจากไตรมาสก่อน (ไตรมาส 3 ปี 2563) ร้อยละ 3 อยู่ที่ 688 ล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ อันเป็นผลจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยและรายได้จากค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น รวมถึงเงินกันสำรองที่ลดลง
กลุ่มธนาคารให้การสนับสนุนลูกค้าทั่วภูมิภาคตลอดปีท่ามกลางวิกฤตโรคระบาด ผ่านโครงการให้ความช่วยเหลือต่างๆ นอกเหนือจากมาตรการให้ความช่วยเหลือจากภาครัฐ ในขณะที่โครงการพักชำระหนี้ทั่วภูมิภาคใกล้สิ้นสุดลงและความช่วยเหลือต่างๆ เริ่มน้อยลง หน่วยงานที่กลุ่มธนาคารตั้งขึ้นเพื่อดูแลด้านการปรับโครงสร้างเข้านัดหมายลูกค้าแบบเชิงรุกและพิจารณาให้ความช่วยเหลือแบบองค์รวมแบบเฉพาะเจาะจงบัญชีแก่ลูกค้าสินเชื่อที่มีศักยภาพ ผลของการพิจารณานี้ชี้ให้เห็นถึงพอร์ตโฟลิโอที่ฟื้นตัวและมีหลักทรัพย์ค้ำประกันที่ดี ทำให้กลุ่มธนาคารคาดการณ์ว่าอัตราส่วนค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองจะปรับตัวลดลงในปี 2564
ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิของปี 2563 ลดต่ำลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากสภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ แต่เริ่มฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง โดยเพิ่มขึ้น 4 จุดเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าอยู่ที่ร้อยละ 1.57 ในไตรมาส 4 ของปี 2563 แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการหนี้สินของกลุ่มธนาคารในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาลง ทำให้เงินฝากในบัญชีกระแสรายวันและบัญชีออมทรัพย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าและมีสัดส่วนบัญชีกระแสรายวันและบัญชีออมทรัพย์ของทั้งปีสูงขึ้นที่ร้อยละ 53.5 ทังนี้จึงคาดการณ์ว่าส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจะคงตัวในปี 2564 ส่วนอัตราดอกเบี้ยน่าจะคงตัวอยู่ในระดับต่ำในอนาคตอันใกล้
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กลุ่มธนาคารได้ดำเนินการพัฒนาขีดความสามารถด้านดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นช่องทางการให้บริการของธนาคารผ่านโทรศัพท์มือถือและออนไลน์ เช่น UOB Mighty, TMRW และ UOB Infinity รวมถึงผลิตภัณฑ์และบริการด้านดิจิทัล เช่น การบริหารเงินสด โซลูชันด้านการเงินและความมั่งคั่ง การพัฒนาเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในปี 2563 เมื่อลูกค้าต้องอยู่บ้านตามมาตรการรักษาระยะห่าง การดูแลลูกค้าอย่างต่อเนื่องในช่วงวิกฤตการระบาดมีผลส่วนหนึ่งให้สินทรัพย์ภายใต้การบริหารของกลุ่มลูกค้าผู้มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 อยู่ที่ 134 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ ซึ่งประมาณร้อยละ 60 เป็นลูกค้าจากต่างประเทศ
นอกจากนี้กลุ่มธนาคารยังคงมุ่งเน้นพัฒนาโซลูชันเพิ่มเติมเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อช่วยลูกค้ากลุ่มธุรกิจให้เข้าถึงโอกาสจากศักยภาพในการเติบโตในระยะยาวของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และการเชื่อมต่อสู่กลุ่มประเทศ Greater China ด้วยฐานลูกค้าแฟรนไชส์ในระดับภูมิภาคที่เข้มแข็งและหลากหลาย รายได้ข้ามพรมแดนสำหรับปี 2563 เติบโตขึ้นร้อยละ 1 แม้ต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย นอกจากนี้ ส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานจากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 48 เมื่อเทียบกับร้อยละ 41 จากปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของแฟรนไชส์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เพื่อปฏิบัติตามแนวทางของธนาคารกลางสิงคโปร์ (Monetary Authority of Singapore) สำหรับธนาคารท้องถิ่นเรื่องการกำหนดเพดานเงินปันผลปี 2563 คณะกรรมการจึงเสนอจ่ายเงินปันผลที่ 39 เซ็นต์ต่อหุ้นสามัญ พร้อมตัวเลือกการจ่ายเงินปันผลด้วยภาระหนี้สิน (scrip dividend) ซึ่งเมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาล 39 เซ็นต์ต่อหุ้นสามัญ เงินปันผลทั้งหมดสำหรับปี 2563 คิดเป็น 78 เซ็นต์ต่อหุ้นสามัญหรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ประมาณร้อยละ 45