บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ หรือ JWD วางยุทธศาสตร์ 5 ปี ดันรายได้สู่ระดับ 1 หมื่นล้านบาท ชูกลยุทธ์ต่อยอดสร้างการเติบโตจากธุรกิจในปัจจุบันและลงทุนในธุรกิจใหม่เพื่อสร้าง New S-Curve ปั้นกลุ่มขนส่งวางแผนขยายธุรกิจสู่ผู้ให้บริการขนส่งครบวงจรทุกรูปแบบทั้งทางเรือ รางและทางบกเสริมศัยภาพการขนส่งแบบ Multimodal Transportation ภายหลังปิดดีลเข้าซื้อกิจการบริษัท วีเอ็นเอส ทรานสปอร์ต จำกัด ใช้เงินลงทุนรวม 200 ล้านบาท ส่วนธุรกิจห้องเย็นเดินหน้าลงทุนสร้างศูนย์กระจายสินค้าห้องเย็นในจังหวัดเศรษฐกิจเพื่อเป็นฮับในภูมิภาค เตรียมขยายฐานธุรกิจกลุ่ม B2C ผ่านการผลักดันธุรกิจให้บริการ Self-Storage บริการขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิด่วนเจาะกลุ่มอาหารและฟาร์มา บริการระบบจัดการคลังสินค้าออนไลน์ Order Fulfillment สำหรับคลังแห้งและแบบควบคุมอุณหภูมิพร้อมเปิดให้ภายในเดือนกรกฎาคมปีนี้ และรุกกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโลจิสติกส์
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนระดับอาเซียน เปิดเผยว่า ได้วางแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี นำ JWD มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท เติบโตมากกว่าเท่าตัวจากปี 2563 ที่มีรายได้รวมกว่า 3,900 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากการขับเคลื่อนธุรกิจในปัจจุบันให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการเดินหน้าขยายการลงทุนธุรกิจใหม่ที่จะเป็น New S-Curve และสามารถต่อยอดกับธุรกิจปัจจุบัน ภายใต้งบลงทุนรวมประมาณ 15,000 ล้านบาท ในช่วง 5 ปีนับจากนี้ ซึ่งแหล่งเงินทุนจะมาจากหลากหลายช่องทาง ทั้งกระแสเงินสด วงเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน การเสนอขายหุ้นกู้ การจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อระดมทุนและทำสัญญาให้เช่าทรัพย์สินแก่กองทรัสต์
สำหรับการขับเคลื่อนธุรกิจปัจจุบันให้มีรายได้เติบโตตามเป้าหมายนั้น บริษัทฯ จะมุ่งเน้น 3 ส่วนคือ 1.กลุ่มขนส่ง 2. กลุ่มห้องเย็น 3. กลุ่มต่างประเทศ สำหรับกลุ่มขนส่งการเน้นเพิ่มศักยภาพการให้บริการแบบ Multimodal Transportation หรือ ‘การขนส่งสินค้าต่อเนื่องหลายรูปแบบ’ ได้แก่ ทางบก ทางน้ำและทางราง โดยบริษัทฯ มีแผนขยายธุรกิจสู่การเป็นผู้บริหารจัดการท่าเรือน้ำลึก (Deep Sea Port) ในเขตพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี จากปัจจุบันที่ JWD ได้รับสิทธิ์บริหารท่าเทียบเรือชายฝั่ง (Barge Terminal) จากการท่าเรือแห่งประเทศไทย และเป็นผู้ให้บริการยกขนและเคลื่อนย้ายตู้สินค้าทางรางภายในเขตพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง
ล่าสุดบริษัท บริษัท เจดับเบิ้ลยูดีทรานสปอร์ต (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ JWD ได้บรรลุข้อตกลงเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดในบริษัท วีเอ็นเอส ทรานสปอร์ต จำกัด หรือ VNS และทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องโดยจะใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 200 ล้านบาท และในขณะเดียวกัน นายบดินทร์ ตัณฑไพบูลย์ ผู้บริหารของบริษัท วีเอ็นเอส ทรานสปอร์ต จำกัด จะเข้ามาถือหุ้น 13.6% ในเจดับเบิ้ลยูดี ทรานสปอร์ต พร้อมรับตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการ การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ถือเป็นการลงทุนครั้งสำคัญ เพื่อขยายธุรกิจด้านการขนส่งสินค้าและยกระดับเจดับเบิ้ลยูดี ทรานสปอร์ต เป็นผู้ให้บริการขนส่งสินค้าอย่างครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน โดยสามารถใช้ความเชี่ยวชาญของ VNS ขยายธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าแบบมิลค์รัน (Milk Run Transport) โดยเฉพาะการรับขนส่งชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์จากผู้ผลิตแต่ละราย เพื่อนำไปจัดส่งยังโรงงานผลิตรถแบรนด์ต่าง ๆ ตามเวลาที่กำหนด และเมื่อผนวกเข้ากับความเชี่ยวชาญการรับขนส่งยานยนต์แก่ผู้ผลิตรถแบรนด์ต่าง ๆ ของเจดับเบิ้ลยูดี ทรานสปอร์ต จะทำให้บริษัทฯ มีบริการด้านโลจิสติกส์ยานยนต์ที่ครอบคลุมทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ นอกจากนี้ ภายหลังควบรวมกิจการแล้ว จะเดินหน้าขยายฐานธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าอื่น ๆ ที่มีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว อาทิ การรับขนส่งสินค้าเคมีภัณฑ์และสินค้าอันตราย, สินค้าทั่วไป, สินค้าขนาดใหญ่ (Project Cargo), บริการขนส่งด่วนแบบควบคุมอุณหภูมิ, บริการขนส่งข้ามแดน ฯลฯ โดยคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากการลงทุนตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป โดยคาดว่าปีนี้บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี ทรานสปอร์ต (ประเทศไทย) จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเกือบ 1 เท่าตัว จากกว่า 400 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา เป็นกว่า 800 ล้านบาทในปีนี้ พร้อมทั้งได้แต่งตั้งบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อเตรียมนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปี 2566
ส่วนธุรกิจห้องเย็น บริษัทฯ มีแผนขยายการลงทุนธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น (Cold Storage) ในรูปแบบการลงทุนเองหรือร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ที่สนใจ เพื่อพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าห้องเย็นในจังหวัดที่มีศักยภาพ ที่จะใช้เป็นฮับหรือศูนย์กลางรวบรวมสินค้าแก่ซัพพลายเออร์ในพื้นที่หรือจังหวัดใกล้เคียงและส่งต่อไปถึงจุดหมาย โดยให้ความสนใจพื้นที่ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือถึงภาคกลางตอนบน ธุรกิจโลจิสติกส์ในต่างประเทศอีก 5 ปีข้างหน้า จะเน้นลงทุนในประเทศกัมพูชา เวียดนาม และอินโดนีเซีย ผ่านการลงทุนเองและควบรวมกิจการ
ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD กล่าวต่อว่า สำหรับการลงทุนขยายธุรกิจใหม่ บริษัทฯ จะรุกขยายฐานธุรกิจ B2C (Business to Customer) โดยจะมุ่งผลักดันธุรกิจให้บริการ Self-Storage (ห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่า) เติบโตอย่างก้าวกระโดด ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้การลงทุนร่วมกับพาร์เนอร์ต่างชาติซึ่งเป็นเจ้าของโมเดลธุรกิจให้บริการค้นหาและจองพื้นที่ห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่าผ่านแพลตฟอร์มแอปพลิเคชันซึ่งมีพื้นที่ให้บริการครอบคลุมในภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้การร่วมมือดังกล่าวสามารถผลักดันให้ JWD ก้าวเป็นผู้ให้บริการ Self-Storage ระดับภูมิภาค
ส่วนอีก 2 บริการเพิ่มเติม สำหรับรองรับการขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ คือบริการระบบจัดการคลังสินค้าออนไลน์ Order Fulfillment สำหรับคลังแห้งและแบบควบคุมอุณหภูมิที่ JWD มีองค์ความรู้และศักยภาพคลังในทำเลยุทธศาสตร์พร้อมอยู่แล้ว โดยในเฟสแรกมีพื้นที่ให้บริการ 5,920 ตร.ม. วางแผนเปิดให้บริการภายในเดือนกรกฎาคมนี้ และบริการ Cold Chain Express ซึ่งที่ผ่านมามีการเติบโตแบบก้าวกระโดดสอดรับกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคปัจจุบันยุค New Normal บริษัทฯ วางแผนเจาะกลุ่มเป้าหมายสินค้าเพื่อสุขภาพและยาเพิ่มเติม
อีกหนึ่งขาธุรกิจที่ช่วยเสริมการเติบโตของ New S-Curve คือ การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และ JWD ภายใต้ชื่อ บริษัท ออริจิ้น เจดับเบิ้ลยูดี อินดัสเทรียล แอสเซท จำกัด เพื่อดำเนินกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโลจิสติกส์ ทั้งในส่วนของคลังสินค้าอัจฉริยะที่เป็นสมาร์ทแวร์เฮ้าส์ โครงการคลังสินค้าที่สร้างขึ้นตามความต้องการเฉพาะ (Built-to-Suit) และโครงการห้องเย็นสำเร็จรูป (Cold Storage) เป็นต้น ซึ่งขณะนี้มีความต้องการใช้งานจำนวนมาก รวมทั้งการจัดตั้งทรัสต์เพื่อการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือ กองรีทเพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต
ทั้งนี้ บริษัทฯ ศึกษาโอกาสเข้าลงทุนในธุรกิจสตาร์ตอัพด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวเนื่องกับโลจิสติกส์ในไทยและต่างประเทศเพื่อต่อยอดกับธุรกิจในปัจจุบัน หรือลงทุนในธุรกิจที่สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10-12% หรือเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตและกำลังเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ล่าสุดได้เข้าลงทุนในธุรกิจสตาร์ตอัพด้านระบบบริหารจัดการร้านอาหาร เพื่อต่อยอดขยายธุรกิจ Food Services และ Cold Chain Express Delivery เพื่อรองรับบริการด้าน Restaurant Platform ที่ทำหน้าที่เป็นเสมือนซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์ที่เป็นแหล่งรวมรวบวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหาร เพื่อให้ผู้ประกอบการร้านอาหารต่าง ๆ เลือกซื้อ โดยสามารถรวบรวมปริมาณการสั่งซื้อจากร้านอาหารต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ซึ่ง JWD จะทำหน้าที่รวบรวม คัดแยกและบริการจัดส่งวัตถุดิบไปยังร้านอาหารต่าง ๆ
“ระยะเวลา 5 ปีนับจากนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ JWD จะเติบโตอย่างต่อเนื่องแบบก้าวกระโดด โดยจะต้องมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการลงทุนเอง ร่วมทุนและพิจารณาการทำ M&A เพื่อขยายเครือข่ายธุรกิจโลจิสติกส์ในไทยและภูมิภาคเอเชีย ซึ่งจะทำให้ JWD ยกระดับเป็นผู้นำธุรกิจด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในภูมิภาคอาเซียน” นายชวนินทร์ กล่าว
Related