SHR ปรับกลยุทธ์จัดพอร์ตสร้างเสถียรภาพธุรกิจ ผ่านการสร้างสมดุลรายได้ และกระจายฐานลูกค้า เพื่อรองรับโอกาสการฟื้นตัวทางธุรกิจหลังวิกฤติโควิด19 โดยภายหลังเข้าลงทุนกว่า 560 ล้านบาทในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อซื้อหุ้น 100% ใน 26 โรงแรมในสหราชอาณาจักร โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินการตามแผนในการขายโรงแรมบางส่วนในสหราชอาณาจักรเพื่อนำเงินไปลงทุนในการปรับปรุงพัฒนาทรัพย์สินหลักของบริษัทฯ พร้อมเดินหน้าปรับแผนการตลาดครั้งใหญ่ ปั้นแบรนด์โรงแรมไทย ดึงฐานลูกค้าในประเทศ ด้านผลประกอบการไตรมาสแรกปี 64 สะท้อนการเติบโตที่ดีขึ้น รายได้เพิ่มขึ้น 83% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘SHR’ ในเครือของสิงห์ เอสเตท เผยรายได้จากการขายและการให้บริการในไตรมาส 1 ปี 2564 เติบโตต่อเนื่องสู่ 544 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 83 จากไตรมาสที่ 4 ปี 2563 จากผลการดำเนินการที่โดดเด่นของโรงแรมในโครงการ CROSSROADS ในสาธารณรัฐมัลดีฟส์ และการรับรู้รายได้ของโรงแรมในสหราชอาณาจักรบางส่วน สะท้อนกลยุทธ์จัดพอร์ตกระจายความเสี่ยง
สำหรับโรงแรมในประเทศไทย SHR ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในการปรับแผนการตลาดครั้งใหญ่ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวไทยซึ่งที่ผ่านมามิใช่ฐานลูกค้าหลัก เสริมทัพด้วยการรีแบรนด์ Outrigger Laguna Phuket Beach Resort และโรงแรมพีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ท เป็นโรงแรมทราย “SAii” สองแห่งแรกในประเทศไทย ได้แก่ โรงแรมทรายลากูน่าภูเก็ต และโรงแรมทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ โดยเน้นช่องทางเว็บไซต์และแพลตฟอร์มการจองห้องพักใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ รวมถึงการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในและการจัดการรายได้
นายเดิร์ก อังเดร ลีน่า คุยเบอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่รีสอร์ท 2 แห่งแรกแบรนด์ SAii ได้รับการตอบรับอย่างดี นั่นหมายความถึง แบรนด์นี้ได้เริ่มเข้าถึงกลุ่มลูกค้าชาวไทยแล้ว เราขอขอบคุณอย่างสูงสำหรับการสนับสนุนและคำชื่นชมต่อ 2 รีสอร์ทแห่งใหม่ รวมไปถึงความนิยมของ ทราย ลากูน มัลดีฟส์ ทำให้เรามีความมั่นใจอย่างมากต่อการเติบโตในอนาคต เราหวังว่าเมื่อเปิดประเทศอีกครั้ง นักเดินทางจากต่างประเทศจำนวนมากขึ้นจะได้สัมผัสกับการต้อนรับแบบไทยที่อบอุ่นที่ SAii นอกจากนั้น เรากำลังมองหาโอกาสในการขยายไปสู่จุดหมายปลายทางใหม่ๆ ที่เป็นที่ต้องการอย่างมากทั่วโลกอีกด้วย”
ในเดือนเมษายน 2564 SHR ได้บรรลุข้อตกลงการขายโรงแรม Mercure Newbury Elcot Park ในสหราชอาณาจักรซึ่งเป็นโรงแรมขนาด 73 ห้อง คิดเป็นมูลค่ารวม 4.25 ล้านปอนด์ (หรือเทียบเท่า 182 ล้านบาท) ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการเพิ่มประสิทธิภาพพอร์ตการลงทุนของบริษัทฯ นอกจากนี้เรายังพิจารณาที่จะขายโรงแรมในสหราชอาณาจักรอีกประมาณ 4-5 แห่ง โดยเงินที่ได้จากการขายสินทรัพย์ดังกล่าวจะนำไปลงทุนพัฒนาปรับปรุงโรงแรมชั้นนำของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และต่อยอดประสิทธิภาพในการทำกำไรของพอร์ตโฟลิโอในสหราชอาณาจักร โดยหวังดัน EBITDA ให้ขึ้นไปถึงระดับสูงสุดที่เคยทำได้ที่ 18 ล้านปอนด์ หรือเทียบเท่า 720 ล้านบาท
ส่วนผลประกอบการในปีนี้ของโรงแรมในสหราชอาณาจักร บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นว่าโรงแรมในกลุ่มนี้จะมีรายได้และกำไรจากการดำเนินการเติบโตอย่างต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง จากความคืบหน้าของแผนการฉีดวัคซีนของคนในสหราชอาณาจักรและยุโรป ซึ่งสอดคล้องกับมาตรการผ่อนปรนข้อจำกัดในการเดินทางและการใช้ชีวิตของรัฐบาลอังกฤษที่ประกาศออกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อโรงแรมในพอร์ตนี้ต้อนรับฤดูกาลการท่องเที่ยวในไตรมาสที่ 3-4 นี้อย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้ให้แต่ละโรงแรมปรับกลยุทธ์หลายด้าน เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ
โควิด19 และมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวของแต่ละประเทศ “เรายังเชื่อมั่นว่าในปี 2564 เมื่อสถานการณ์การเเพร่ระบาดของโควิด19 ผ่อนคลาย เเละมีการกระจายวัคซีนอย่างทั่วถึง จะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญต่อการฟื้นตัวภาคการท่องเที่ยวเเละธุรกิจโรงแรมตามลำดับ SHR มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการเดินหน้าธุรกิจ ควบคู่การใส่ใจสิ่งแวดล้อม และมาตรฐานบริการด้านสุขอนามัยที่เข้มข้น” นายเดิร์ก กล่าวปิดท้าย