จากสถานการณ์โควิด-19 ที่กลับมาแพร่ระบาดอีกครั้งในช่วงปลายปี 2563 ต่อเนื่องมาถึงช่วงต้นปี 2564 ฉุดเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวช้า แต่ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ อาร์เอส กรุ๊ป ก็ยังคงสามารถทำผลงานในไตรมาสแรกของปี 2564 เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายได้รวมทั้งหมด 992 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 140 ล้านบาท เติบโตขึ้น 37% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ผลมาจากการเติบโตของรายได้ธุรกิจคอมเมิร์ซที่ทำสถิติสูงสุดใหม่และมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 67% ของรายได้ทั้งหมด ด้วยการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายและการบริหารจัดการฐานข้อมูลลูกค้าร่วมกับการทำโปรโมชั่นที่ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละกลุ่ม บริษัทฯ ยังสามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกธุรกิจ
นายวิทวัส เวชชบุษกร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ก็ตาม แต่จากการใช้โมเดลธุรกิจ Entertainmerce มาเป็นแกนหลักในการดำเนินธุรกิจ สามารถทำให้บริษัทฯ มีรายได้เติบโตต่อเนื่อง สำหรับผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2564 ทำรายได้รวมอยู่ที่ 992 ล้านบาท กำไร 140 ล้านบาท หรือเติบโต 37% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยมาจากรายได้ของธุรกิจคอมเมิร์ซ 661 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา”
ปัจจัยที่ส่งผลให้ธุรกิจคอมเมิร์ซของ อาร์เอส กรุ๊ป เติบโตสูงขึ้น ได้แก่
– ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่ขายอยู่บน RS Mall อยู่ในหมวดสุขภาพและความงามเป็นหลัก ซึ่งตอบโจทย์ เมกะเทรนด์ด้าน Health, Wellness and Wellbeing ที่ลูกค้าตระหนักถึงสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งตรงกับแนวคิดของ RS Mall ที่ต้องการเป็นพันธมิตรด้านสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน(Your Wellbeing Partner)
– การขยายช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ร่วมกับการทำโปรโมชั่นที่ตอบโจทย์ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เช่น “RS Mall Flash Sales” “RS Mall Flash Sunday” “RS Mall Chinese New Year 2021”
– จากการ Work from Home และเป็นยุค “Mobile First” ที่คนเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และเข้าสื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น การทำ Real-Time Marketing และการทำ Live Streaming ผ่านช่องทาง RS Mall Facebook จึงส่งผลให้มียอดขายเพิ่มขึ้น
– มุ่งเน้นการบริหารข้อมูลลูกค้าเป็นสำคัญ การใช้ Predictive Dialing System (PDS) พัฒนาระบบคอลเซ็นเตอร์ให้ทำงานเต็มประสิทธิภาพเข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มมากขึ้น รวมทั้งมีระบบ Voice analytics ที่นำมาใช้อย่างเต็มรูปแบบในปี 2564 โดยนำข้อมูลในหลากหลายมิติและเสียงการสนทนาของลูกค้ามาประมวลผลให้สามารถนำเสนอสินค้าและบริการได้ตรงใจ และตอบโจทย์ความต้องการการใช้ผลิตภัณฑ์ของลูกค้ามากขึ้น จึงทำให้ธุรกิจคอมเมิร์ซมีฐานลูกค้าประมาณ 1.6 ล้านราย
– บริษัท ไลฟ์สตาร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครืออาร์เอส กรุ๊ป มุ่งเน้นการพัฒนาและผลิตสินค้าใหม่ๆ อาทิ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโพรไบโอติก ภายใต้แบรนด์ “S.O.M” และยาสมุนไพรแผนโบราณสามัญประจำบ้าน ภายใต้แบรนด์ “ทองเอก” อีกทั้งเปิดตัวผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนไดเปปไทด์ และไตรเปปไทด์ ภายใต้แบรนด์ “well u” โดยเน้นช่องทางการขายผ่าน Exclusive Distribution Network (EDN) หรือตัวแทนจำหน่ายเป็นหลัก ซึ่งเป็นครั้งแรกที่บริษัทฯ ลุยตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนระดับพรีเมียม
– สินค้าภายใต้บริษัทไลฟ์สตาร์ ได้ขยายช่องทางการจัดจำหน่าย จากเดิมที่จำหน่ายผ่านช่องทางหลักของบริษัทฯเท่านั้น อาทิ RS Mall, COOLanything, ดิจิทัลทีวีช่อง 8 และ COOLFahrenheit ปัจจุบันได้ขยายไปยังพันธมิตรออนไลน์อื่นๆ และเริ่มจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกทั่วประเทศแล้ว
ในขณะที่รายได้จากธุรกิจมีเดีย เพลงและอื่นๆ รวมกันอยู่ที่ 332 ล้านบาท ทั้งนี้ ธุรกิจมีเดียอยู่ในช่วง Low Season และได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้ต้องงดจัดกิจกรรมและคอนเสิร์ต รวมถึงการชะลอการใช้งบโฆษณาในทุกช่องทางยกเว้นออนไลน์ ส่งผลให้ธุรกิจมีเดียมีรายได้ลดลงตามอุตสาหกรรมโดยรวม แต่ยังคงมีประสิทธิภาพในการทำกำไรได้ดี อย่างไรก็ตาม ธุรกิจเพลง ยังมีรายได้เพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสก่อนหน้า รวม 77 ล้านบาท โดยมาจากการฟังเพลงผ่านออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น รายได้จากการบริหารศิลปิน และลิขสิทธิ์เพลงที่เพิ่มขึ้นผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ รวมทั้งการปรับกลยุทธ์การดำเนินงานแบบ Music Marketing ทำให้การบริหารต้นทุนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ในปีนี้ อาร์เอส กรุ๊ป ยังมุ่งดำเนินธุรกิจในรูปแบบ Entertainmerce เข้าสู่ธุรกิจพาณิชย์อย่างเต็มตัว โดยการนำเสนอไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ทั้งเครื่องดื่ม อาหารสัตว์ รวมถึงอาหารเสริม สู่ตลาดใหญ่ทั่วประเทศและครบทุกช่องทาง ซึ่งในไตรมาสที่ 2 นี้ บริษัทฯ รุกตลาดเครื่องดื่ม Functional Drink ภายใต้แบรนด์ “CAMU C” มุ่งเข้าสู่ Mass Market เน้นจุดขายด้านสุขภาพ รวมถึงสามารถหาซื้อได้ง่ายและสะดวก ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มเทรนด์ตลาดและความสนใจของผู้บริโภคในปัจจุบัน นอกจากนี้บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการศึกษาและเจรจากับพันธมิตรคู่ค้าเพื่อนำกัญชงมาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์กว่า 8 SKU ทั้งในส่วนของอาหารเสริมและเครื่องดื่มที่จะเริ่มเห็นในช่วงครึ่งปีหลัง
สำหรับสถานีโทรทัศน์ “ช่อง 8” ยังคงผลักดันการบริหารคอนเทนต์และการสร้างคอนเทนต์ใหม่เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมบนแพลตฟอร์มออนไลน์อื่นๆ รวมถึงการกลับมาของรายการหลักที่ได้รับความนิยมทั้งละครไทย ข่าวและกลุ่มกีฬามวยต่างๆ อีกทั้งยังมีการผลักดันการบริหารคอนเทนต์ให้เกิดประโยชน์ในตลาดใหม่ และบนแพลตฟอร์มออนไลน์อื่นๆ อย่างต่อเนื่อง
“การร่วมลงทุนในธุรกิจใหม่เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญของบริษัทฯ ในการสร้าง Ecosystem ให้มีขนาดใหญ่ยิ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นการสร้างมูลค่าทางธุรกิจและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ซึ่งในไตรมาส 2 นี้ บริษัทฯ เข้าไปร่วมลงทุนในบริษัท โฟร์ท แอปเปิ้ล จํากัด ซึ่งเชี่ยวชาญในด้านการตลาดออนไลน์ โดยดำเนิน 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1) รับเป็นที่ปรึกษาด้านการทำตลาดออนไลน์ผ่านคอนเทนต์และ Influencers 2) สร้างสรรค์คอนเทนต์ และผลิตรายการรูปแบบใหม่ทางออนไลน์ โดยเน้นเจาะกลุ่มไอดอลเกาหลีและญี่ปุ่น 3) เป็น Talent agency บริหารจัดการ Influencers นอกจากนี้ อาร์เอส กรุ๊ป ได้ร่วมทุนกับบริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) ซึ่งแข็งแกร่งในการทำธุรกิจสื่อโฆษณา Out Of Home Media จัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้น เพื่อสนับสนุนและต่อยอดการทำธุรกิจของ อาร์เอส อย่างครบวงจร โดยจะมีการเปิดเผยรายละเอียดการร่วมทุน (JV) ครั้งนี้ในเร็วๆ นี้” นายวิทวัส กล่าวปิดท้าย
ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสาร และความเคลื่อนไหวต่างๆ ของ อาร์เอส กรุ๊ป ได้ทาง www.rs.co.th และ https://www.facebook.com/RSGROUPOFFICIAL