บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2564 ยังคงทำผลงานได้อย่างโดดเด่ นเหนือภาพรวมอุตสาหกรรม สามารถทำยอดรับรู้รายได้ที่ 1,524 ล้านบาท ขยายตัว 21.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมทั้งยั งคงความสามารถในการบริหารจั ดการต้นทุนต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้มีกำไรสุทธิที่ 320 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 29.4%
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้แนวคิด “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” กล่าวถึ งผลประกอบการในไตรมาสแรกที่ผ่ านมาว่า แม้จะมีปัจจัยลบจากเหตุการณ์ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกสอง จากกลุ่มแรงงานต่างด้าว ซึ่งเริ่มระบาดตั้งแต่ช่ วงปลายปี 2563 ต่อเนื่องมายังต้นปี 2564 นี้ แต่ลลิลฯ มีการบริหารงานอย่างมืออาชีพ เน้นตลาด Real Demand และใช้กลยุทธ์ที่มุ่งเน้นสร้ างความสามารถในการแข่งขัน โดยใส่ใจทั้งในเรื่องของคุ ณภาพสินค้า คุณภาพของการบริการ ตลอดจนการควบคุมค่าใช้จ่ายต่ างๆ เพื่อส่งมอบบ้านให้กับลูกค้าได้ ในราคาที่คุ้มค่า จึงช่วยให้บริษัทสามารถแข่งขั นได้แม้ในสภาวะที่ตลาดโดยรวมไม่ เติบโต โดยในไตรมาสแรกนี้บริษัทฯ สามารถบริหารงานได้เป็นไปตามเป้ าหมายที่วางเอาไว้ มียอดรับรู้รายได้จาการขายที่ 1,524 ล้านบาท ขยายตัว 21.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตที่ สวนทางกับภาวะอุตสาหกรรมที่หดตั วลง นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงความสามารถในการจัดการต้ นทุนต่างๆ ยังคงรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้ นได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุ ตสาหกรรม โดยมีตัวเลขอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ ที่ 39.1% ในขณะที่การบริหารค่าใช้จ่ ายในการขายและตลาดมีประสิทธิ ภาพมากขึ้น มีการใช้ E-Marketing ที่เพิ่มมากขึ้น โดยค่าใช้จ่ายในการขายต่อยอดขาย ปรับลดลงจาก 6% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 4.5% ในไตรมาสปัจจุบัน ส่งผลให้ในไตรมาส 1 ปี 2564 นี้ บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 320 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 29.4%
ในแง่การบริหาความเสี่ยงทางด้ านการเงิน บริษัทมีการบริหารความเสี่ ยงอย่างรัดกุม มีการใช้แหล่งเงินทุนที่ หลากหลาย ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ตลอดจนมีวงเงินสำรองที่ยังไม่ เบิกใช้อีกกว่า 2,500 ล้านบาท โดยบริษัทมีสถานะการเงินที่แข็ งแกร่ง แม้ว่าบริษัทจะมีการลงทุ นขยายโครงการใหม่อย่างต่อเนื่ องในช่วง 5 – 6 ปีที่ผ่านมา มีอัตราหนี้สินต่อทุน หรือ D/E Ratio ณ สิ้นไตรมาสแรก เพียง 0.64 เท่า ซึ่งนับว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ ยของตลาดซึ่งอยู่ที่ราว 1.5 เท่าอย่างมาก ในส่วนของแผนขยายธุรกิจในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ จำนวน 10 – 12 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 6,000 – 7,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการเปิ ดโครงการเพื่ อการทดแทนโครงการเดิมที่ จะทยอยปิดโครงการไป ทั้งนี้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดโครงการใหม่ไปแล้ วทั้งสิ้น 5 โครงการ มูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 3,550 ล้านบาท และอยู่ระหว่างเตรียมเปิดเพิ่ มเติมอีก 2 โครงการ รวมเป็นมูลค่าโครงการทั้งสิ้ นราว 4,600 ล้านบาทโดยการขยายธุรกิจ บริษัทมีการดำเนินการด้วยระมั ดระวัง มีการทยอยเปิดโครงการเพื่ อประเมินผลตอบรับของตลาด มีการประเมินสถานการณ์การแพร่ ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีการแพร่ระบาดระลอกสามเกิ ดขึ้นอย่างใกล้ชิด เพื่อดำเนินกลยุทธ์ให้เหมาะสมกั บสถานการณ์