- ไตรมาส 1/64 ทำ GPM เพิ่มเป็น 51.3% ดันกำไรสุทธิเพิ่มเป็น 94.4 ล้านบาท
- ลุยพัฒนาเครื่องดื่มผสมกัญชงเพื่อสุขภาพ เข้าถือหุ้น MNB สัดส่วน 60% จ่อออกผลิตภัณฑ์ปลายปีนี้
- ปรับแผนกลุ่มธุรกิจ Commerce ให้ JKN Best Life ทำตลาดและจำหน่ายผ่าน JKN18
‘บมจ. เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย หรือ JKN’ เดินหน้าขยายพอร์ตกลุ่มธุรกิจ Commerce ประกาศเข้าลงทุนซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน จาก บริษัท เอ็มเอ็น เบฟเวอร์เรจ จำกัด หรือ MNB ผู้ประกอบธุรกิจผลิตเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ในสัดส่วน 60% รับแผนงานรุกขยายตลาดเต็มสูบ พร้อมดัน บริษัท เจเคเอ็น เบสท์ ไลฟ์ จำกัด (JKN Best Life) เข้าซื้อสิทธิในเครื่องหมายการค้าและผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสุขภาพและความงามจาก บริษัท เจเคเอ็น เฮลท์ แอนด์ บิวตี้ จำกัด เพื่อทำตลาดและจำหน่ายผ่านช่องทางทีวีดิจิทัล JKN18 โดยจะเริ่มบุ๊ครายได้จากธุรกิจ Commerce ในไตรมาส 2/2564 ช่วยเสริมการเติบโตระยะยาว หลังโชว์ผลงานไตรมาส 1/64 อัตราการทำกำไรขั้นต้นขยับเพิ่มเป็น 51.3% ดันกำไรสุทธิอยู่ที่ 99.4 ล้านบาท
คุณจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN เปิดเผยว่า ด้วยนโยบายการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม JKN ที่ต้องการนำองค์กรก้าวสู่การเป็น Content Commerce Company อีกทั้งต้องการมุ่งสร้างความเข้มแข็งให้แก่กลุ่มธุรกิจ Commerce โดยมีผลิตภัณฑ์กลุ่มเพื่อสุขภาพ ความงาม และสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นธุรกิจ New S-Curve ของกลุ่ม JKN ที่จะเข้าช่วยผลักดันผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ให้ไปสู่เป้าหมาย 5,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี ดังนั้น บริษัทฯ จึงตัดสินใจเข้าลงทุนซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท เอ็มเอ็น เบฟเวอร์เรจ จำกัด หรือ MNB ผู้ประกอบการธุรกิจผลิตเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ โดยใช้เงินลงทุนไม่เกิน 76.5 ล้านบาท เพื่อถือหุ้นในสัดส่วน 60% ของทุนจดทะเบียน รองรับแผนงานขยายธุรกิจเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพในอนาคต เช่น เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มีส่วนผสมกัญชงกัญชา ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ คาดว่าจะสามารถออกสู่ตลาดได้ภายในครึ่งปีหลังของปีนี้
ทั้งนี้ MNB เป็นผู้ผลิตเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มีการผลิตภายใต้มาตรฐานสากลเป็นที่ยอมรับจากคู่ค้า ซึ่งมีบริษัทยักษ์ใหญ่ชั้นนำในประเทศไทยได้มอบหมายให้ผลิตสินค้าเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแบบ OEM (รับจ้างผลิต) หลายราย โดยมีกำลังการผลิต 72,000,000 ขวดต่อปี สำหรับการเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ ถือเป็นการต่อยอดความร่วมมือจากเดิมที่เคยร่วมทุนจัดตั้ง บริษัท เจเคเอ็น เอ็มเอ็นบี จำกัด เพื่อทำการตลาดและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มสมุนไพรสกัดผสมวิตามินภายใต้แบรนด์ Cupid (คิวปิด) ได้แก่ Dragon X (ดราก้อน เอ็กซ์) และ Tiger X (ไทเกอร์ เอ็กซ์) ซึ่งได้มีการวางจำหน่ายผ่านช่องทางการขายที่ Lotus’s (โลตัส) ทั่วประเทศแล้วเมื่อเดือนที่ผ่านมา
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ปรับรูปแบการลงทุนในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพและความงาม เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินงานในระยะยาว ที่เอื้อต่อการผลักดันการเติบโตในอนาคต จึงได้มอบหมายให้บริษัท เจเคเอ็น เบสท์ ไลฟ์ จำกัด หรือ JKN Best Life ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ JKN ถือหุ้น 100% เข้าลงทุนซื้อสิทธิในเครื่องหมายการค้าและซื้อผลิตภัณฑ์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามของบริษัท เจเคเอ็น เฮลท์ แอนด์ บิวตี้ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเครื่องหอม เครื่องสำอางและสินค้าเพื่อสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ C-TRIA by Anne JKN (ซีเทรีย) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อผิวสวย, V-Allin (วี ออลิน) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยสร้างสมดุลให้กับร่างกาย, Olig Fiber (โอลิก ไฟเบอร์) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อปรับสมดุลลำไส้, Hair Now (แฮร์ นาว) ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ และ Instinct (อินสติงท์) ผลิตภัณฑ์น้ำหอมสำหรับผิวกาย รวมถึงซื้อเครื่องหมายการค้าของบริษัท เจเคเอ็น จีเนียส แฟมิลี่ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับเด็ก ภายใต้แบรนด์ Fish Cap (ฟิช แคป) เพื่อทำการตลาดและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ถึงกลุ่มผู้บริโภคโดยตรง หรือ Direct to Consumer (D2C) ผ่านช่องทางทีวีดิจิทัล JKN18
“นับตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป JKN จะเริ่มรับรู้รายได้จากกลุ่มธุรกิจ Commerce ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของผลการดำเนินงานต่อจากนี้ โดยมีแผนพัฒนาและออกสินค้าใหม่ๆ ที่อยู่ในเทรนด์ของผู้บริโภคทั้งด้านสุขภาพและความงามอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าปีนี้ JKN จะเติบโตแบบก้าวกระโดด และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นได้แน่นอน” คุณจักรพงษ์ กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ JKN กล่าวว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 แม้จะมีปัจจัยลบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงสามารถผลักดันให้เกิดการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากเดิม 42% เป็น 51.3% จากปัจจัยต้นทุนค่าลิขสิทธิ์ที่ลดลง ตลอดจนการบริหารจัดการต้นทุนการดำเนินงานที่ดีขึ้น ส่งผลให้ทำกำไรสุทธิได้ 99.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 95.2 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมทำได้ 442 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ 414 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการขายในประเทศ 251 ล้านบาท และต่างประเทศ 163 ล้านบาท ส่งผลให้ Return on Sales หรือผลตอบแทนจากการขายปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 22.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 20.2%