กรุงศรี หนุนลูกค้าธุรกิจฝ่าวิกฤต จับคู่ธุรกิจกว่า 300 คู่ ในภูมิภาคอาเซียน ผ่านกิจกรรม Krungsri Virtual Business Matching ตอกย้ำความแข็งแกร่งเครือข่ายในอาเซียน

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) เผยความสำเร็จในการจัดงาน Krungsri Virtual Business Matching 2021 กิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจออนไลน์ ที่เปิดโอกาสให้มีการพบปะเจรจาการค้าระหว่างผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการในอาเซียนผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเกิดการเจรจาจับคู่ธุรกิจกว่า 300 คู่ จากบริษัทในประเทศไทย กัมพูชา ลาว และเวียดนาม ตอกย้ำการเดินหน้าแผนธุรกิจระยะกลางปี 2564-2566 ของกรุงศรีที่มุ่งสนับสนุนการขยายโอกาสทางธุรกิจของลูกค้าทั้งในประเทศและในภูมิภาคอาเซียน ประสานประโยชน์ของกลุ่มลูกค้าเข้าด้วยกัน ด้วยความแข็งแกร่งของเครือข่ายสถาบันการเงินในกลุ่ม MUFG

นายพรสนอง ตู้จินดา ประธานกลุ่มธุรกิจลูกค้าธุรกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การจัดงานเจรจาจับคู่ธุรกิจ เป็นกิจกรรมภายใต้ Krungsri Business ที่มุ่งเน้นให้บริการทางการเงินครบวงจร และให้บริการข้อมูล ความรู้ และการส่งเสริมลูกค้าของเราทั้งผู้ประกอบการ SME และผู้ประกอบการธุรกิจขนาดใหญ่ ในการขยายโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ตามแผนธุรกิจระยะกลางของกรุงศรีที่มุ่งให้ความสำคัญในเรื่องสนับสนุนการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและในภูมิภาคอาเซียนผ่านเครือข่ายธุรกิจระดับโลกของ MUFG และประสานประโยชน์ร่วมกันของกลุ่มลูกค้าแต่ละกลุ่มภายใต้ห่วงโซ่ธุรกิจและสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับธุรกิจของลูกค้า ซึ่งกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจเป็นหนึ่งในบริการเสริมหลักที่กรุงศรีจัดเตรียมให้กับลูกค้าธุรกิจมาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิกฤตโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบในทุกภาคส่วน และกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจเองก็เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก โดยนอกเหนือจากมาตรการช่วยเหลือต่างๆแก่ลูกค้าธุรกิจที่กรุงศรีมีมาอย่างต่อเนื่องแล้ว การจัดกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจผ่านออนไลน์ในครั้งนี้ก็นับเป็นอีกความตั้งใจที่จะช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการธุรกิจมีช่องทางการขายและตลาดใหม่ๆ ให้สามารถฝ่าวิกฤตเดินหน้าธุรกิจต่อไปได้ พร้อมทั้งโอกาสต่อยอดธุรกิจในอนาคตข้างหน้าด้วยเช่นกัน”

นางสาวมันตินี อัครเสริญ ผู้บริหารสายงานการตลาดลูกค้าธุรกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงกิจกรรมครั้งนี้ว่า  “Krungsri Virtual Business Matching กิจกรรมจับคู่ธุรกิจในรูปแบบออนไลน์นี้ ได้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิดในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2563 โดยในปีนี้ได้จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 1-24 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับจากบริษัททั้งในไทยและอาเซียน มีการเจรจาจับคู่ทางธุรกิจที่เกิดขึ้นกว่า 300 คู่ ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ และสูงกว่าปีที่แล้วที่เกิดขึ้นประมาณ 100 กว่าคู่ โดยจำนวนผู้ซื้อและผู้ขายในปีนี้ก็เพิ่มขึ้น ด้วยจำนวนผู้ขายกว่า 170 ราย และผู้ซื้อกว่า 20 ราย ซึ่งมาจากทั้งบริษัทขนาดใหญ่ในไทยและบริษัทจากต่างประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ลาว และเวียดนาม ที่มองหาสินค้าจากประเทศไทยเพื่อนำเข้าไปขายในประเทศ โดยธุรกิจที่ได้รับความนิยม 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจอาหารเครื่องดื่ม ธุรกิจความงาม และธุรกิจสินค้าเครื่องใช้ในครัวเรือน สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจประเภทดังกล่าวของไทยเป็นที่ชื่นชอบของประเทศเพื่อนบ้าน”

ความสำเร็จของกิจกรรม Krungsri Virtual Business Matching ด้วยจำนวนการเจรจาจับคู่กว่า 300 คู่ในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงการจัดกิจกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ทั้งในเรื่องของรูปแบบการจัดงานผ่านออนไลน์แพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพอันก้าวข้ามข้อจำกัดในเรื่องต่างๆ ขณะเดียวกันยังเป็นการหาโอกาสใหม่ๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจโดยเฉพาะการขยายตลาดไปในต่างประเทศ จากความเชี่ยวชาญของกรุงศรีที่ช่วยให้ผู้ประกอบการมั่นใจด้วยระบบคัดกรองความต้องการของทั้งผู้ซื้อและผู้ขายอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายได้พบคู่ค้าที่ตรงกับความต้องการของตนเอง นอกจากนั้น ยังมีทีมงานคอยให้การปรึกษาและคำแนะนำ รวมถึงการประสานความสะดวกต่างๆ ให้กับผู้ประกอบการธุรกิจในทุกขั้นตอน เพิ่มโอกาสในการจับคู่เจรจาให้ประสบความสำเร็จ

“เราเชื่อว่าการเจรจาธุรกิจที่เกิดขึ้น จะช่วยสร้างเครือข่ายของธุรกิจไทยกับธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งยังคงมีศักยภาพสูงจากการที่สินค้าไทยเป็นที่รู้จักและมีข้อได้เปรียบด้านการขนส่งจากที่ตั้งที่อยู่ใกล้กัน  ช่วยสนับสนุนให้เกิดการต่อยอดทางการค้าที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจไทยได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ประกอบการได้รับทราบความต้องการของผู้ซื้อเพื่อนำไปปรับปรุงพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการของผู้ซื้อในแต่ละประเทศอีกต่อไปด้วย ซึ่งกิจกรรมนี้เป็นการยืนยันว่า Krungsri Business พร้อมที่จะเป็นพันธมิตรที่ลูกค้าให้ความไว้วางใจ อยู่เคียงข้าง สร้างโอกาสธุรกิจและจับมือผู้ประกอบการเดินหน้าไปด้วยกัน” นายพรสนอง กล่าวสรุป