SO สยามราชธานี คว้าโครงการใหม่เฉียด 500 ล้านบาท ตุน Backlog แน่น พร้อมสยายปีกสู่โครงการใหญ่ภาครัฐ ชูธงดิจิทัลแพลตฟอร์ม

สยามราชธานี หรือ SO ผู้นำด้านธุรกิจจ้างเหมาบริการ (Outsourcing Services) อันดับ 1 ในประเทศไทย ฝ่าวิกฤตโควิด-19 ประกาศความแข็งแกร่ง คว้า 3 สัญญาใหม่ มูลค่ารวม 460 ล้านบาท จากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ธนาคารไทยพาณิชย์ และบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด อายุสัญญา 2-3 ปี เผยองค์กรใหญ่เลือกใช้ “เอาท์ซอร์สซิ่ง” เพิ่มขึ้น ในกลุ่มธุรกิจงานบริการด้านบุคลากร (SO PEOPLE) ช่วยสร้างงานสร้างรายได้ให้พนักงานขับรถ เพิ่มรวม 600 กว่าอัตรา คาดกำไรครึ่งปีหลังเติบโต พร้อมเผยยังมีองค์กรขนาดใหญ่ ทั้งภาครัฐและเอกชน ในกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี ยานยนต์ เห็นถึงศักยภาพธุรกิจ รอประมูลและเซ็นสัญญาอีกหลายโครงการในปีนี้

นายณัฐพล วิมลเฉลา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท สยามราชธานี จำกัด (มหาชน) หรือ SO เปิดเผยว่า จากแนวโน้มวิกฤตโควิด-19 ที่ยังระบาดต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งประเทศ และทั่วโลก แต่ในขณะเดียวกันกลายเป็นโอกาสทองของธุรกิจ Outsource ที่กระตุ้นให้องค์กรภาครัฐและภาคเอกชนให้ความสำคัญในการใช้บริการด้านบุคลากรมากขึ้น เพื่อลดภาระการจัดการงานและบุคลากร ซึ่งสยามราชธานีเป็นบริษัท Outsourcing ที่มีพนักงานขับรถอันดับ 1 ของประเทศไทย มีประสบการณ์ด้านบริการจัดการด้านบุคลากรมากว่า 40 ปี มีพนักงานขับรถรวมกว่า 3,500 คน ทั้งยังให้ความสำคัญกับคุณภาพพนักงานขับรถตามมาตรฐานสากล คัดสรรให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า และนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาบริหารจัดการ เช่น Tiktrack และ Digidocs & Flow เพิ่มประสิทธิภาพ ลดขั้นตอน ลดต้นทุน เพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการให้บริการกับลูกค้า และยังลดต้นทุนเพื่อสร้างผลกำไรให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องในทุกมิติ ด้วยมาตรฐานระดับสากล ISO 39001 : 2012  การจัดการความปลอดภัยการจราจรบนถนน และ ISO 9001 : 2015 การบริหารจัดการคุณภาพ

ล่าสุด บริษัทฯ ได้เซ็นสัญญาใหม่ในการบริการจัดการพนักงานขับรถให้กับลูกค้า 3 องค์กร ได้แก่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จำนวนพนักงานขับรถ 300 คน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำนวนพนักงานขับรถ 224 คน และบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด จำนวนพนักงานขับรถ 120 คน เป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับพนักงานขับรถรวม 600 กว่าอัตราในภาวะวิกฤตเช่นนี้

ปัจจัยหลักของความสำเร็จมาจากความเชื่อมั่นในคุณภาพของผลงานการบริการที่ผ่านมา และที่สำคัญคือการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลแพลตฟอร์มเข้ามารองรับการดำเนินธุรกิจ ช่วยเพิ่มศักยภาพการบริการจัดการในยุคนิวนอร์มอล ได้แก่  การใช้ระบบลงเวลา (Tiktrack) เก็บข้อมูลการลงเวลา การลางาน การทำงานล่วงเวลา หรือเบี้ยเลี้ยงต่างๆ ผ่านสมาร์ทโฟน โดยสามารถนำข้อมูลมาประมวลผลเพื่อจ่ายเงินเดือนและค่าตอบแทนต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว อีกทั้งลูกค้ายังเห็นข้อมูลได้ทันท่วงที (Real-time) อีกด้วย

นอกจากนี้ บริการด้านการบริหารจัดการข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ สู่ระบบ DIGIDOCS ซึ่งเป็นระบบจัดการเอกสารออนไลน์รูปแบบใหม่ ถือเป็นเทคโนโลยีที่มีความล้ำหน้ามากที่สุดในปัจจุบัน ที่สามารถลดขั้นตอนการทำงานเชิงข้อมูลที่ซับซ้อน ป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการนำเอาระบบการจัดการเอกสารที่สร้างความต่อเนื่องหรือ Flow มาใช้ในการอนุมัติงาน และการเซ็นเอกสารแบบดิจิทัล ที่มีชื่อว่า Digidocs & Flow ที่สะดวกรวดเร็ว สามารถติดตามกระบวนการทำงานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ทำให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตของตลาด Outsource ในประเทศไทย ที่จะเป็นตัวช่วยให้ธุรกิจดำเนินอยู่ได้ ด้วยการลดรายจ่าย โดยเฉพาะด้านบริหารจัดการงานบุคลากร รวมไปถึงการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงาน” นายณัฐพล กล่าวสรุป