บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ วีจีไอ (“VGI”) ผู้นำการตลาด Offline-to-Online (“O2O”) โซลูชั่นส์ บนแพลตฟอร์มธุรกิจสื่อโฆษณา ธุรกิจบริการชำระเงิน และธุรกิจโลจิสติกส์ รายงานผลการดำเนินไตรมาส1 ปี 2564/65 ผลักดันธุรกิจฝ่าความท้ายทายจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 สร้างรายได้เพิ่มขึ้น 33.7% YoY พร้อมกำไรสุทธิเป็นบวกที่ 10 ล้านบาทได้สำเร็จ ซึ่งการเติบโตดังกล่าวเป็นผลมาจากการปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดีของบริษัทฯ ทำให้สามารถบรรเทาผลกระทบได้อย่างมีประสิทธิภาพและพร้อมรับมือกับวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
คุณเนลสัน เหลียง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ท่ามกลางสถานการณ์ที่มีความท้าทายอันเนื่องมาจากการระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตามกลุ่มบริษัทฯ ยังสามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสามารถบันทึกรายได้ที่ 596 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.7% YoY และมีผลกำไรสุทธิที่ 10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 109.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยไตรมาสแรกของปี 2564/65 มีรายได้จากธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้านอยู่ที่ 378 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.9% YoY จากเดิม 266 ล้านบาท และรายได้ของธุรกิจบริการด้านดิจิทัลเพิ่มขึ้น 21.6% YoY อยู่ที่ 218 ล้านบาท สำหรับทิศทางดำเนินงานและพัฒนาการสำคัญของกลุ่มบริษัทฯ แม้ในปีที่ผ่านมาธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้านจะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 แต่บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นในการเพิ่มประสิทธิภาพทางการตลาดผ่านการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคหรือ Engagement บนทุกแพลตฟอร์มของบริษัทฯ ทางด้านธุรกิจบริการชำระเงิน ยังคงเดินหน้าขยายการให้บริการด้านดิจิทัลและออนไลน์ผ่านกลุ่มแรบบิทที่เป็นผู้นำด้านดิจิทัลโซลูชั่นส์ โดยบริษัท แรบบิท ไลน์ เพย์ จำกัด ได้ร่วมมือกับ KBank เปิดตัวบัตรเครดิต LINE POINTS Credit Card ตอบรับเทรนด์การใช้จ่ายของผู้บริโภคยุคใหม่ ในไตรมาสนี้ VGI ได้ต่อยอดระบบนิเวศของธุรกิจด้วยการเข้าสู่ตลาดอีคอมเมิร์ชผ่านการเข้าลงทุน 51.0% ในบริษัท แฟนส์ลิ้งค์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด(“Fanslink”) ผู้นำเข้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และอี-คอมเมิร์ซของจีน โดยความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นโอกาสสำคัญสำหรับทั้งสองบริษัทในการขยายขีดความสามารถทางธุรกิจ ยิ่งไปกว่านั้นด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพของ Fanslink เมื่อผนึกรวมกับอีโคซิสเต็มของ VGI จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ของเราได้ในอนาคต
“แม้ว่าสถานการณ์การกระจายวัคซีนทั่วโลกจะมีพัฒนาการที่เพิ่มขึ้นในปี 2564 แต่สถานการณ์ COVID-19 ในประเทศไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายเป็นอย่างมาก จากการระบาดครั้งล่าสุดตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมายังมีจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนำไปสู่มาตรการควบคุมที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ประกอบกับแนวโน้มการเติบโตที่มีความผันผวนมากกว่าปกติ ด้วยเหตุนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้ปรับลดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2564 ลงมาอยู่ที่ 0.7% ซึ่งนับว่าเป็นการเติบโตที่ต่ำที่สุดในอาเซียน แม้จะต้องเผชิญกับสภาวะกดดันดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น แต่ VGI ยังคงมุ่งเน้นการบริหารงานภายใต้กลยุทธ์เพื่อความยั่งยืนของธุรกิจผ่านแพลตฟอร์มที่หลากหลาย และสร้าง Synergy ร่วมกับหน่วยธุรกิจใหม่ รวมถึงการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินและการสำรองเงินสด ทำให้เราเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถกลับมาเติบโตได้อย่างรวดเร็วอีกครั้งภายหลังจากวิกฤตการณ์นี้สิ้นสุดลง” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กล่าวเพิ่มเติม