- เตรียมส่ง 2 รุ่นหรู “Mercedes-Maybach GLS” อีกระดับของรถยนต์เอสยูวีระดับลักชัวรี และ “The new EQS” ยานยนต์ไฟฟ้า 100% คันแรกที่ผลิตในประเทศไทย ลุยตลาดครึ่งปีหลัง
- ยกระดับบริการหลังการขายต่อเนื่อง พร้อมจัดแคมเปญ StarFest 2021: Season of the ultimate offers มอบสิทธิประโยชน์มากมายให้ผู้ซื้อเมอร์เซเดส–เบนซ์และเมอร์เซเดส–เอเอ็มจี ถึง 30 กันยายนนี้
เมอร์เซเดส–เบนซ์ ย้ำความพร้อมในการก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัวในประเทศไทยภายในทศวรรษนี้ตามนโยบายของเมอร์เซเดส–เบนซ์ เอจี ทั้งการเตรียมความพร้อมในสายการผลิตของโรงงานประกอบรถยนต์และโรงงานแบตเตอรี่ ต่อยอดจากการเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ PHEV ระดับลักชัวรีด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีหลากหลายที่สุด หนุนด้วยกลยุทธ์เพิ่มประสิทธิภาพการขายใหม่ (New Retail Optimization Strategy) ด้วยบริการที่เป็นดิจิทัลมากขึ้น ตอบรับความต้องการของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้นและสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจให้กับแบรนด์เมอร์เซเดส–เบนซ์ในระยะยาว พร้อมเตรียมส่ง 2 รถยนต์หรู “Mercedes-Maybach GLS” อีกระดับของรถยนต์เอสยูวีระดับลักชัวรีที่มอบความหรูหราและความสะดวกสบายสูงสุดในทุกรายละเอียด และ “The new EQS” ยานยนต์ไฟฟ้า 100% คันแรกที่ผลิตในประเทศไทยที่ช่วยตอกย้ำการเดินหน้าสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ลุยตลาดรถยนต์ไทยครึ่งปีหลัง เสริมทัพด้วยการยกระดับบริการหลังการขายต่อเนื่อง ทั้งโปรแกรมบำรุงรักษาและการขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ MBSP, อะไหล่ StarParts และ REMAN Part พร้อมย้ำแคมเปญ “StarFest 2021: Season of the ultimate offers” มอบสิทธิประโยชน์มากมายให้กับผู้ซื้อรถยนต์เมอร์เซเดส–เบนซ์และเมอร์เซเดส–เอเอ็มจี ถึง 30 กันยายนนี้
มร. โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ตามที่เมอร์เซเดส–เบนซ์ เอจีได้มีการประกาศออกมาก่อนหน้านี้แล้วว่า แบรนด์เมอร์เซเดส–เบนซ์กำลังเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัวทั่วโลกภายในทศวรรษนี้ โดยเริ่มจากการเปิดตัวโครงสร้างรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ 3 แบบในปี 2568 ได้แก่ MB.EA, AMG.EA และ VAN.EA ซึ่งในประเทศไทย เมอร์เซเดส–เบนซ์ก็ได้มีการเตรียมความพร้อมในสายการผลิตให้สอดคล้องกับกลยุทธ์นี้ไว้ก่อนแล้ว ทั้งการเตรียมความพร้อมในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่โรงงานประกอบรถยนต์ของเมอร์เซเดส–เบนซ์ในประเทศไทย และการลงทุนด้านยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ผ่านการรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) และการสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2562 ต่อยอดจากการที่เราเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ PHEV ระดับลักชัวรีด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายในแต่ละเซกเมนต์ที่สุด โดยก่อนหน้านี้ เรายังมีการประกาศกลยุทธ์การเพิ่มประสิทธิภาพในการขายใหม่ โดยใช้ศูนย์บริการเป็น “พื้นที่สร้างประสบการณ์” เมอร์เซเดส–เบนซ์ให้กับลูกค้า ควบคู่ไปกับการสร้างแพลตฟอร์มการสื่อสารเพื่อสื่อภาพลักษณ์ความเป็นแบรนด์ลักชัวรีด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้ตอบรับความต้องการของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น และสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจของเราในระยะยาว ทั้งหมดนี้คือวิสัยทัศน์แห่งอนาคตของเมอร์เซเดส–เบนซ์ที่พร้อมก้าวไปข้างหน้าทั้งในปีนี้และปีต่อ ๆ ไป”
สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง เมอร์เซเดส–เบนซ์ยังได้เตรียมสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดรถยนต์หรูในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นด้วยการแนะนำ 2 รถยนต์ลักชัวรีรุ่นใหม่ที่จะสะกดทุกสายตาด้วยรายละเอียดที่เป้นที่สุดของความหรูหราและความทันสมัย ได้แก่ Mercedes-Maybach GLS ยนตรกรรมที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นอีกระดับของความเป็นรถยนต์เอสยูวีระดับลักชัวรี ที่มอบความหรูหราและความสะดวกสบายสูงสุดในทุกรายละเอียด และ The new EQS รถยนต์ไฟฟ้า 100% คันแรกที่ผลิตในประเทศไทยโดยพัฒนาขึ้นมาจากแพลตฟอร์มรถยนต์ไฟฟ้าตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าระดับ Executive Class ที่หลอมรวมทั้งเทคโนโลยี ดีไซน์ ฟังก์ชันการใช้งาน และการเชื่อมต่อที่มอบความสะดวกสบายให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร นอกจากนี้เมอร์เซเดส–เบนซ์ยังเตรียมผลิตและจำหน่ายรถยนต์รุ่น S-Class ที่เพิ่งเปิดตัวไปก่อนหน้านี้ในเวอร์ชัน PHEV ซึ่งจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่งาน The IAA MOBILITY 2021 ในวันที่ 5 กันยายนนี้ เมอร์เซเดส–เบนซ์จะอัปเดตอีกครั้งว่ารถยนต์แต่ละรุ่นจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยในช่วงเวลาใด
ขณะเดียวกัน เมอร์เซเดส–เบนซ์ยังมีแผนการขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายรถยนต์อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ที่เป็น sub-brand ของเมอร์เซเดส–เบนซ์ทั้ง Mercedes-EQ และ Mercedes-Maybach โดยล่าสุดได้มีการแต่งตั้งผู้จำหน่ายรถยนต์ Mercedes-Maybach อย่างเป็นทางการแล้ว 4 แห่ง ได้แก่ ทีทีซี, สตาร์แฟลกไพรมัส และ บีเคเค
นอกจากนี้ เมอร์เซเดส–เบนซ์ยังพร้อมยกระดับบริการหลังการขายอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า และเน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยสูงสุดสำหรับลูกค้าเมอร์เซเดส–เบนซ์ และพนักงานเมอร์เซเดส–เบนซ์ทุกคนด้วยมาตรการด้านสาธารณสุขที่เข้มงวดภายใต้สถานการณ์โควิด-19 โดยในส่วนของบริการหลังการขาย เมอร์เซเดส–เบนซ์ย้ำความพิเศษของโปรแกรมบำรุงรักษาและการขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ MBSP ที่ช่วยเพิ่มความอุ่นใจไม่รู้จบให้กับลูกค้าโดยเฉพาะ ด้วยแพ็คเกจที่หลากหลายให้เลือกถึง 4 แบบ ได้แก่ Compact, Advance, Extra และ Excellent พร้อมทั้งมอบความยืดหยุ่นแก่ผู้ใช้บริการ ทั้งในเรื่องการบำรุงรักษา การเปลี่ยนอะไหล่ที่สึกหรอ และการขยายการรับประกันคุณภาพโดยไม่จำกัดระยะทาง พร้อมทั้งขยายความคุ้มครองได้สูงสุดถึง 8 ปี
ในด้านความหลากหลายของอะไหล่ เมอร์เซเดส–เบนซ์มีทั้ง StarParts อะไหล่รถยนต์เมอร์เซเดส–เบนซ์ที่ได้มาตรฐานในราคาที่เข้าถึงง่ายขึ้น พร้อมช่วยให้ลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่ายได้สูงสุด 55% เพื่อการบำรุงรักษารถยนต์เมอร์เซเดส–เบนซ์อายุ 5 ปีขึ้นไป ครอบคลุมทั้งรถยนต์คอมแพ็ค รถยนต์นั่งระดับกลาง รถยนต์เอสยูวี และรถยนต์สปอร์ต และ REMAN part ซึ่งเป็นอะไหล่แท้ที่ผ่านกระบวนการ Remanufacturing ซึ่งเมอร์เซเดส–เบนซ์คิดค้นขึ้นเพื่อลดการใช้ทรัพยากรและแรงงานในขั้นตอนการผลิตอะไหล่แท้ชิ้นใหม่ โดยมีการฟื้นฟูสภาพ ตรวจสอบ และทดสอบคุณภาพตามมาตรฐานของเมอร์เซเดส–เบนซ์ ทำให้อะไหล่ในกลุ่มนี้มีราคาย่อมเยาขึ้น ช่วยให้ลูกค้าสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี โดยอะไหล่ REMAN จะมีทั้งในชุดอุปกรณ์หลัก ชิ้นส่วนสำหรับกลไก ระบบหัวฉีดและการบำบัดไอเสีย ระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และระบบขับเคลื่อน โดยลูกค้าผู้ใช้เมอร์เซเดส–เบนซ์หลายรุ่นสามารถเข้ารับบริการและเลือกใช้อะไหล่ REMAN ได้ที่ศูนย์บริการรถยนต์เมอร์เซเดส–เบนซ์ทั่วประเทศ
นอกจากนี้ เมอร์เซเดส–เบนซ์ยังจัดแคมเปญ StarFest 2021: Season of the ultimate offers เพื่อมอบข้อเสนอสุดเร้าใจของรถยนต์เมอร์เซเดส–เบนซ์ ทั้งในกลุ่ม Compact car, Contemporary Luxury, Dream Cars รวมถึงแบรนด์รถสปอร์ตสมรรถนะสูงอย่าง “เมอร์เซเดส–เอเอ็มจี” ให้ลูกค้ารับข้อเสนอไปแบบเต็มพิกัด ตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 กันยายนนี้
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์ทุกรุ่น แคมเปญต่าง ๆ และรายละเอียดเกี่ยวกับบริการหลังการขายได้ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส–เบนซ์อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ
เกี่ยวกับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี เป็นผู้รับผิดชอบธุรกิจทั่วโลกของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และรถตู้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ด้วยจำนวนพนักงานกว่า 173,000 คนทั่วโลก โดยมี โอล่า คัลเลนเนียส เป็นประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัทมุ่งเน้นการพัฒนา ผลิต และจำหน่ายรถยนต์ รถตู้ และบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนั้น ยังมีเจตนารมณ์ในการเป็นผู้นำของโลกในด้านการเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน ยานยนต์ไร้คนขับ และยานยนต์ทางเลือก โดยการใช้นวัตกรรมล้ำสมัยต่าง ๆ กลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทประกอบด้วยแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และแบรนด์ย่อย เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี เมอร์เซเดส-มายบัค และเมอร์เซเดส-มี รวมทั้งแบรนด์สมาร์ท และแบรนด์อีคิว ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์โดยสารระดับพรีเมี่ยมรายใหญ่ที่สุดของโลก ในปี 2563 บริษัทฯ จำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกือบ 2.4 ล้านคัน และรถตู้กว่า 438,000 คัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ขยายเครือข่ายการผลิตใน 2 กลุ่มธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั่วโลก โดยมีฐานการผลิตกว่า 40 แห่งใน 4 ทวีป ควบคู่ไปกับแนวทางการพัฒนาที่ตอบสนองความต้องการในด้านยานยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกัน บริษัทได้พัฒนาเครือข่ายการผลิตแบตเตอรี่ของตัวเองทั่วโลกใน 3 ทวีป การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนล้วนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อทั้งสองกลุ่มธุรกิจ สำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ความยั่งยืนหมายถึงการสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายในระยะยาว ทั้งลูกค้า พนักงาน นักลงทุน พันธมิตรทางธุรกิจ และสังคมโดยรวม โดยอาศัยพื้นฐานของกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของเดมเลอร์ ซึ่งมุ่งรับผิดชอบต่อผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม และสังคม จากกิจกรรมทางธุรกิจต่าง ๆ ของบริษัท และให้ความสำคัญต่อห่วงโซ่คุณค่าโดยรวม
Related