ผลการศึกษาของ VMware เผย การสร้างประสบการณ์ส่วนบุคคลแก่ผู้บริโภคยังสำคัญ แต่แบรนด์ค้าปลีกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยุคนี้จะอยู่รอดได้ต้องอาศัยกลยุทธ์เพื่อ “ความยั่งยืน” ร่วมด้วย

  • นักช้อปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการเติบโตในเรื่องของดิจิทัลแบบก้าวกระโดด โดย 41% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า พวกเขายังช้อปสินค้าได้อย่างต่อเนื่องแม้ไม่ต้องไปหน้าร้าน
  • ผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ชอบซื้อสินค้าของกับผู้ค้าปลีกที่รู้ความชอบส่วนตัว (54%) ใช้เทคโนโลยีเสมือน (63%) และปัญญาประดิษฐ์ (70%)
  • ความยั่งยืน กลายเป็นความแตกต่างที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ค้าปลีก โดย 43% ของผู้บริโภคยินดีที่จะจ่ายเงินให้กับสินค้าและบริการกลุ่มพรีเมี่ยมที่มีนโยบายการลดใช้คาร์บอน

รายงานของ VMware, Inc. (NYSE: VMW) เปิดเผยว่า บริการและข้อเสนอการค้าปลีกดิจิทัลที่สมจริงและยั่งยืนช่วยพลิกวิกฤติอุตสาหกรรมค้าปลีกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สู่โอกาส แต่รากฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้เกิดนวัตกรรมการค้าปลีก ตลอดระยะเวลาการระบาดครั้งใหญ่ ผลการศึกษา VMware Digital Frontiers 3.0 เปิดเผยว่า 41% ของผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงช้อปปิ้งได้ไม่สะดุดเสมือนไปช้อปหน้าร้าน เนื่องผู้บริโภคจำนวนมากเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลแก่ผู้ค้าปลีกเพื่อสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่มีความเป็นส่วนตัวสูง นวัตกรรมที่เน้นความเป็นส่วนตัวและเหมาะสมกับการค้าปลีก เช่น ปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีเสมือนจริง จะเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมค้าปลีกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

  • มากกว่าครึ่ง (54%) ชอบซื้อของกับร้านค้าปลีกแฟชั่นที่รู้รสนิยมและความชอบส่วนตัวว่าพวกเขาต้องการอะไร เช่น รู้ไซส์เสื้อผ้า แนะนำสีโปรด และราคาที่รับได้
  • 63% ของผู้บริโภคเปิดรับประสบการณ์ใช้งานเทคโนโลยีเสมือนจริง ตัวอย่างเช่น ใช้เทคโนโลยีเสมือนจริงลองสินค้ามีลักษณะอย่างไร หรือสินค้าจะพอดีกับพื้นที่ที่ต้องการหรือไม่
  • มากกว่าสองในสาม (70%) เชื่อมั่นว่าปัญญาประดิษฐ์จะถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ทางสังคมในอีกห้าปีข้างหน้า
  • 64% ของผู้บริโภคระบุว่าพวกเขาจะออกจากเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันหากปัญหาที่พวกเขาเจอไม่ได้รับกาสรแก้ไข (เช่น แชทบอท, ไลฟ์แชท และโทรศัพท์)
  • 41% จะออกจากเว็บผู้ค้าปลีกและหันไปเยี่ยมชมเว็บไซต์หรือแอปของแบรนด์คู่แข่งหากไม่สามารถเสนอการส่งมอบสินค้าได้ภายใน 1-2 วันหลังจากสั่งซื้อ

ร้านค้าที่มีหน้าร้านหลายแห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญกับข้อจำกัด เนื่องจากการล็อกดาวน์ภายใต้การระบาดใหญ่ ซึ่งผลักดันให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น ในขณะที่ 61% ของผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พอใจที่ได้มีส่วนร่วมประสบการณ์ดิจิทัลกับร้านค้าปลีก แต่ 60% พร้อมที่จะหันไปช้อปแบรนด์คู่แข่งหากประสบการณ์ดิจิทัลไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่น ๆ ที่ทำการสำรวจ: สหรัฐฯ (50%) เยอรมนี (40%) ฝรั่งเศส (36%) และสหราชอาณาจักร (51%) ผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง (57%) รู้สึกตื่นเต้นกับบริการดิจิทัล การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยียุคหน้า ซึ่งรวมถึงคลาวด์ ปัญญาประดิษฐ์ และโมเดิร์นแอปพลิเคชัน โดยเทคโนโลยีเหล่านี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยให้อุตสาหกรรมค้าปลีกเร่งสร้างนวัตกรรมและมอบประสบการณ์การค้าปลีกแบบองค์รวมและปลอดภัยยิ่งขึ้น ให้กับนักช้อปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นายเอกภาวิน สุขอนันต์ ผู้จัดการประจำ VMware ประเทศไทย กล่าวว่า “การแพร่ระบาดเป็นตัวเร่งให้อุตสาหกรรมค้าปลีกก้าวเข้าสู่ประสบการณ์ดิจิทัล นำไปสู่การพลิกโฉมในการซื้อสินค้าของผู้บริโภคอย่างถาวร ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ธุรกิจกำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ ‘จะยอมแพ้หรือสู้ต่อ’ ด้วยการนำประโยชน์จากนวัตกรรมล้ำสมัย เช่น คลาวด์และโมเดิร์นแอป มาใช้ เพื่อกำหนดวิธีที่แบรนด์เชื่อมต่อกับลูกค้าด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล หรือยอมเสี่ยงที่จะเสียลูกค้าให้กับคู่แข่ง นอกเหนือจากการทำให้แน่ใจว่าพวกเขากำลังส่งมอบบริการดิจิทัลที่มีความเป็นส่วนตัวสูงและไร้รอยต่อแล้ว แบรนด์ค้าปลีกยังต้องมุ่งเน้นไปที่การลดช่องว่างในการดำเนินงานทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ นำเสนอประสบการณ์ omnichannel ที่เหนือกว่า เพื่อให้สามารถแข่งขันในเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคตได้ ที่ VMware เรามุ่งมั่นจะช่วยให้แบรนด์ค้าปลีกปรับปรุง และเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ทันสมัยและแข็งแกร่ง เพื่อให้สามารถปลดล็อกประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบใหม่ที่ปฏิวัติวงการสำหรับผู้บริโภคได้”

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังมุ่งไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม และกำลังพยายามใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (carbon-neutral):

  • 43% ของผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยินดีจะจ่ายเบี้ยประกันภัยสำหรับสินค้าและบริการที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะไม่เพิ่มก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ
  • มากกว่าครึ่ง (55%) จะหยุดการมีส่วนร่วมกับบริษัทหรือซื้อสินค้าจากแบรนด์ หากพวกเขาไม่เปิดเผยนโยบายด้านจริยธรรมของตนต่อสาธารณะ
  • 63% ต้องการใช้บริการดิจิทัลมากขึ้นเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เช่น ไม่ต้องขับรถไปซื้อของที่ร้านค้า

ในประเทศไทย รัฐบาลให้การสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคลและความยั่งยืนในธุรกิจค้าปลีก โดยได้ประกาศคุ้มครองสิ่งแวดล้อมอันเป็นหนึ่งในสี่วัตถุประสงค์หลักของโมเดลเศรษฐกิจไทยแลนด์ 4.0

  • 70% ของผู้บริโภคในประเทศไทยยินดีใช้เทคโนโลยีเสมือนจริง เพื่อเก็บประสบการณ์ของผู้บริโภคนำไปจำลองว่าสินค้ามีลักษณะอย่างไร หรือมีความเหมาะสมกับพื้นที่ที่ต้องการได้อย่างไร
  • 57% ยินดีที่จะจ่ายเบี้ยประกันภัยสำหรับสินค้าและบริการจากผู้ค้าปลีกที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากผลิตภัณฑ์เป็นศูนย์
  • 73% ต้องการใช้บริการดิจิทัลมากขึ้นเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เช่น ขับรถไปร้านค้าให้น้อยลง

ต้องสร้างให้ผู้บริโภคไว้วางใจก่อนถึงจะได้รับความภักดี

ในขณะที่สมรภูมิการค้าปลีกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ดำเนินไปในรูปแบบเสมือนจริง ผู้บริโภคมีความไว้วางใจสูงขึ้นกับแบรนด์ค้าปลีก ที่มีระบบดิจิทัลที่ช่วยปรับแต่งประสบการณ์การช้อปปิ้งของพวกเขาให้โดนใจมากยิ่งขึ้น:

  • กว่าครึ่งของผู้บริโภค (53%) รู้สึกสบายใจและตื่นเต้นที่เปิดให้ผู้ค้าปลีกเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของพวกเขา เพื่อรับประสบการณ์และข้อเสนอที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งสูงกว่าผู้ตอบแบบสำรวจในประเทศอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกา (24%) เยอรมนี (34%) ฝรั่งเศส (20%) และสหราชอาณาจักร (18%)
  • มากกว่าสองในสาม (68%) รู้สึกสบายใจและตื่นเต้นกับการใช้เทคโนโลยีแบบรีโมท สนทนากับผู้ค้าปลีกแบบเสมือนจริง ซึ่งไม่ต่างจากประสบการณ์หน้าร้าน

อย่างไรก็ดี มีผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพียง 36% ที่เชื่อมั่นว่าร้านค้าปลีกจะรับรองความปลอดภัยของข้อมูลของพวกเขา สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนของร้านค้าปลีกในภูมิภาค ที่จะสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคมากขึ้น โดยสร้างความโปร่งใสกับผู้บริโภคและสร้างแนวทางการรักษาความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือพร้อมปกป้องข้อมูลของผู้ใช้งานจากผู้ไม่หวังดี

โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลน่าเชื่อถือจะเป็นกุญแจสำคัญของร้านค้าปลีกยุคใหม่

ในช่วงเวลาที่เรากำลังเดินหน้าเข้าสู่อนาคตยุคดิจิทัลอย่างเต็มกำลังนี้ VMware ได้จัดลำดับความสำคัญหลักที่จะช่วยในการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของอุตสาหกรรมค้าปลีกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไว้ดังนี้:

  • สร้างมัลติคลาวด์และแอปพลิเคชันรองรับบริการด้านค้าปลีกในอนาคต: ปลดล็อกมัลติคลาวด์สำหรับอนาคตด้วยนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนผ่านแอป เพิ่มความคล่องตัวและปลอดภัยให้สภาพแวดล้อม อันช่วยสร้างนวัตกรรมได้อย่างต่อเนื่อง
  • รองรับทำงานแบบรีโมท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับพนักงานในแต่ละภูมิภาคให้สามารถทำงานได้จากทุกที่: โซลูชันที่รองรับรูปแบบการทำงานในอนาคต จะช่วยให้พนักงานได้รับประสบการณ์ดิจิทัลอย่างไร้รอยต่อและปลอดภัยยิ่งขึ้น และเร่งให้เกิดผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดียิ่งขึ้น
  • มีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างแท้จริงที่พร้อมรับมือนวัตกรรมที่เกิดใหม่อยู่เสมอ: แนวทางการรักษาความปลอดภัยที่แท้จริงสำหรับองค์กร ที่จะเป็นเกราะอีกชั้นช่วยป้องกันระบบปฏิบัติการที่สำคัญ และโครงสร้างพื้นฐานสำหรับนวัตกรรมทางธุรกิจและความยืดหยุ่นที่รวดเร็ว