ต้องยอมรับว่ากระแสของซีรีส์เกาหลีร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ล่าสุด ‘Squid Game’ ก็มีผู้ชมบนแพลตฟอร์ม Netflix กว่า 110 ล้านบัญชี ทำรายได้มากถึง 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบๆ 30,000 ล้านบาท สูงกว่าต้นทุน 40 เท่า และในไทยเองก็มีการพูดถึงซีรีส์บนโซเชียลมีเดียกว่า 95,112,359 เอ็นเกจเมนต์ ตลอดเวลา 1 เดือน
Squid Game ปังจริง แต่ตลาดอิ่มตัว
แม้ ‘Squid Game’ จะได้รับความนิยมอย่างมากไปทั่วโลก แต่ก็ยังไม่มีพลังมากพอที่จะโกยลูกค้าใหม่ ๆ ในตลาดอเมริกา โดย Netflix เปิดเผยในจดหมายผู้ถือหุ้นเมื่อวันอังคารว่า สมาชิกกว่า 142 ล้านคน หรือคิดเป็น 2 ใน 3 ของลูกค้า 213 ล้านคนทั่วโลก นั้นได้ชมซีรีส์เกาหลีใต้ที่ได้รับความนิยมอย่างมากอย่างน้อย 2 นาที
อาจดูเหมือนว่าชาวอเมริกันส่วนใหญ่จะเคยดู Squid Game แต่ความนิยมของซีรีส์ก็ยังไม่แรงพอที่จะเพิ่มสมาชิกรายใหม่ในตลาดสหรัฐอเมริกา โดยในไตรมาส 3 Netflix มีสมาชิกสุทธิ 4.4 ล้านคน ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เฉลี่ย 3.5 ล้านคน แต่การเติบโตไม่ได้มาจากสหรัฐอเมริกาหรือแคนาดา โดย Netflix เพิ่มผู้ใช้เพียง 70,000 ราย จากภูมิภาคนี้ในไตรมาสนี้
ส่อง 5 ประเด็นสำคัญ ที่คนไทยพูดถึงปรากฏการณ์ Squid Game บนโลกโซเชียล
แม้ว่าจะเป็นไปได้ที่ Netflix อาจเพิ่มสมาชิกชาวอเมริกันหรือแคนาดาในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเริ่มในวันที่ 1 ต.ค. แต่บริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลงการคาดการณ์ว่าในสิ้นปี จำนวนผู้ใช้จะเติบโตได้ 8.5 ล้านคน ดังนั้น เป็นที่ชัดเจนว่าการเติบโตของ Netflix ได้ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาถึงจุด อิ่มตัว เรียบร้อยแล้ว โดยมีสมาชิกเพิ่มขึ้น น้อยกว่า 1 ล้านคนในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
ดังนั้น นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่บริษัทเริ่มขยายไปสู่คอนเทนต์อื่น ๆ อาทิ วิดีโอเกม อาจต้องจับตาดูว่า Netflix ทำอะไรที่จะสร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับตลาดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพื่อผลักดันการเติบโตอย่างรวดเร็วในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เพราะหาก ‘Squid Game’ ไม่สามารถดึงดูดสมาชิกใหม่นับล้านได้ ก็เป็นคำถามว่า ต้องเป็นคอนเทนต์แบบไหนถึงจะเพิ่มผู้ใช้งานในภูมิภาคได้
ปัจจุบัน ฐานสมาชิกในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาของ Netflix มีทั้งหมด 74 ล้านคน โดยตอนนี้ต้องแข่งขันกับผู้ให้บริการสตรีมมิ่งอื่น ๆ อาทิ Disney +, Hulu, AT&T ’s HBO Max, NBCUniversal ’s Peacock
Squid Game ทำรายได้ให้ Netflix ถึง 900 ล้านเหรียญ อัพจากที่ลงทุนถึง 40 เท่า!
Disney+ ขอลุยเอเชียนซีรีส์เช่นกัน
สำหรับสตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่อีกรายอย่าง ดิสนีย์พลัส (Disney+) หรือ ดิสนีย์พลัส ฮอตสตาร์ (Disney+ Hotstar) ที่มีจุดแข็งอย่างแฟรนไชส์ดัง ๆ ทั้งจากดิสนีย์, มาร์เวล, สตาร์ วอร์ส, พิกซาร์ ก็ไม่นิ่งเฉยต่อกระแส พร้อมเตรียมเปิดตัวคอนเทนต์จากฝั่งเอเชียใหม่อีกกว่า 20 เรื่อง โดย 18 เรื่องเป็นคอนเทนต์ออริจินัล
สำหรับคอนเทนต์ใหม่ ๆ ที่จะได้เห็นปีหน้า อาทิ Moving ซีรีส์แอ็กชันฮีโร่ระทึกขวัญจากเกาหลีที่ดัดแปลงมาจากการ์ตูนยอดนิยมบนเว็บตูน, Snowdrop ซีรีส์แนวดราม่า โรแมนติก นำแสดงโดย จองแฮอิน พระเอกชื่อดังชาวเกาหลี และจีซู จาก BLACKPINK และ BLACKPINK : The Movie ภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบ 5 ปีของเกิร์ลกรุ๊ปจากเกาหลีใต้ที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก
ทั้งนี้ โดยดิสนีย์พลัสเตรียมที่จะเปิดตัวในเกาหลีใต้ ฮ่องกง และไต้หวัน ในเดือน พ.ย.ปีนี้ อาจจะต้องจับตาดูว่า ดิสนีย์พลัสจะสามารถผงาดแซง Netflix ได้เมื่อไหร่ ในเมื่อรุกตลาดหนักขนาดนี้