“บมจ.ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค” หรือ PIN กำหนดราคาเสนอขาย IPO ที่ 3.90 บาทต่อหุ้น รุกพัฒนาโครงการ Logistic Park ชูสุดยอดทำเลในพื้นที่ EEC รับเม็ดเงินลงทุนกลุ่ม S-Curve

บมจ.ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค หรือ PIN ผู้พัฒนาและบริหารนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco Industrial Town) กำหนดราคาเสนอขาย IPO ที่หุ้นละ 3.90 บาท พร้อมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อวันที่ 28-29 ต.ค. และ 1 พ.ย. 2564 เดินหน้านิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง 6 กดปุ่มเปิดขายเฟสแรกปลายปีนี้ และพัฒนาโครงการ Logistics Park แห่งใหม่ ยกระดับนิคมอุตสาหกรรมสู่เมืองอัฉริยะ (Smart City) สร้างความมั่นคงด้านรายได้กลุ่ม Recurring Income รับเม็ดเงินลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรม S-Curve ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน เคียงคู่เศรษฐกิจไทย

บมจ.ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค หรือ PIN ได้ลงนามในสัญญาแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย พร้อมแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)

นายพีระ ปัทมวรกุลชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ PIN บริษัทฯ จะนำประสบการณ์ความเชี่ยวชาญจากการดำเนินธุรกิจมากว่า 25 ปี ที่เป็นผู้พัฒนาและบริหารจัดการนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco Industrial Town) ภายใต้มาตรฐาน ISO14001 และรางวัล Eco-Excellence  โดยการจัดวางผังโครงการที่มุ่งเน้นพื้นที่สีเขียวและพื้นที่กันชนเชิงนิเวศ (Eco-Belt) และระบบสาธารณูปโภคสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน และเป็นผู้พัฒนาอาคารโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าและเพื่อขายบนพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและพื้นที่โลจิสติกส์ (Logistics Park) โดยมีจุดเด่นของทำเลที่ตั้งโครงการนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทองและ Logistic Park ทั้ง 7 แห่ง ซึ่งมีพื้นที่รวมกันกว่า 7,500 ไร่ ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรีและระยอง ใกล้กับท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังและท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุด บนถนนสายหลักเชื่อมต่อสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินอู่ตะเภา รวมถึงมีแผนนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการโครงการต่างๆ เพื่อยกระดับนิคมอุตสาหกรรมก้าวสู่การเป็น “เมืองอัจฉริยะ” หรือ “Smart City” เพื่อดึงดูดนักลงทุนกลุ่ม S-Curve เข้ามาซื้อที่ดินก่อสร้างโรงงาน คลังสินค้าในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของ PIN มากขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมเปิดขายพื้นที่ภายในโครงการนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง 6 เฟสแรกในจังหวัดระยอง รวมเนื้อที่ 1,322 ไร่ ภายในช่วงไตรมาสุดท้ายปีนี้ รองรับนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมต่างชาติเข้ามาลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ในเขตเศรษฐกิจ EEC ทำให้ PIN ได้รับประโยชน์สามารถสร้างรายได้จากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังเตรียมพัฒนาโครงการ Logistics Park แห่งใหม่ ซึ่งอยู่ใกล้ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง โดยพัฒนาที่ดินและสร้างอาคารโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า ที่จัดสรรพื้นที่โครงการประกอบด้วยเขตปลอดอากร (Free Zone) และเขตทั่วไป (General Zone) โดยมีพื้นที่อาคารรวมประมาณ 100,000 ตารางเมตร บนพื้นที่ 80 ไร่ และส่วนที่สองจะให้เช่าที่ดินเปล่าในลักษณะการเช่าระยะยาว เพื่อให้ผู้ประกอบการสร้างอาคารคลังสินค้าในพื้นที่โครงการซึ่งได้จัดเตรียมที่ดินเปล่าให้เช่า โดยจะเริ่มพัฒนาโครงการได้ในปลายปีนี้ และคาดว่าจะพัฒนาเฟสแรกแล้วเสร็จภายในปี 2565 ส่งผลดีต่อการเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ (Recurring Income) จากค่าเช่าคลังสินค้าและค่าบริการจากสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้นเพื่อสร้างความมั่นคงด้านผลการดำเนินงาน

“เรามีเป้าหมายสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยการพัฒนาโครงการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและชุมชน รองรับการลงทุนของต่างชาติในกลุ่มอุตสาหกรรม S-Curve ที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูงในการผลิตสินค้า เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจและการขับเคลื่อนประเทศไทยก้าวสู่เศรษฐกิจ 4.0” นายพีระ กล่าว

นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า หลังจากนำเสนอข้อมูลแผนการดำเนินงานและศักยภาพดำเนินธุรกิจของ PIN ต่อกลุ่มนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อย พบว่า นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในพื้นฐานธุรกิจและโอกาสการเติบโตที่ดี ด้วยจุดเด่นของโครงการนิคมอุตสาหกรรม PIN อยู่ในพื้นที่เศรษฐกิจ EEC จะได้รับประโยชน์จากเม็ดเงินลงทุนใหม่ๆ ของนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงแผนกลยุทธ์การสร้างการเติบโตจากรายได้ประจำและสม่ำเสมอมากขึ้น ดังนั้น จึงได้กำหนดราคาเสนอขาย IPO ของ บมจ.ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค ที่ราคา 3.90 บาทต่อหุ้น พร้อมกำหนดให้นักลงทุนจองซื้อในวันที่ 28-29 ตุลาคม และวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 นี้ และคาดว่าจะสามารถนำหลักทรัพย์ของ PIN เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ภายในวันที่ 9 พฤศจิกายนนี้

ทั้งนี้ PIN จะนำเงินจากการระดมทุนไปเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินงานผ่านการพัฒนาโครงการ Logistics Park แห่งใหม่ ซึ่งเป็นโครงการที่มีศักยภาพที่ดี โดยจะสร้างการเติบโตของรายได้ของบริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเติบโตของรายได้จากการให้เช่าและบริการเพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทฯ มีความมั่นคงของรายได้โดยมีสัดส่วนของกลุ่มรายได้ประจำ (Recurring Income) เพิ่มขึ้น ส่วนเงินทุนที่เหลือจะนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนกิจการ การระดมทุนจะส่งผลดีต่อสถานะทางการเงินของบริษัทฯ ให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้นและเพิ่มศักยภาพการเติบโตของรายได้แก่บริษัทฯ อย่างต่อเนื่องและมั่นคง

นายธนัท วงษ์ชูแก้ว กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า บมจ.ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค หรือ PIN มีศักยภาพการเติบโตที่ดีจากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการเป็นผู้พัฒนาและบริหารนิคมอุตสาหกรรมมายาวนาน จึงเข้าใจความต้องการของลูกค้า รวมถึงมีแผนยกระดับนิคมอุตสาหกรรมสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมุ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้าน Recurring Income จากโครงการ Logistics Park แห่งใหม่ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา จะเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยเพิ่มศักยภาพการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน จึงทำให้ PIN เป็นหุ้นของกิจการที่อยู่ในช่วงเติบโต หรือ Growth Stock ในสายตาของนักลงทุน และด้วยนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการ ภายหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินทุนสำรองตามกฎหมายและทุนสำรองอื่นตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย จะทำให้หุ้น PIN ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนอย่างแน่นอน