ปิดจองหน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) เพิ่มทุนครั้งที่6 ผู้ถือหุ้นเดิม-สถาบัน-นักลงทุนทั่วไป แห่จอง ตอกย้ำความมั่นใจในศักยภาพความโดดเด่นของทรัพย์สินทั้ง 3 โครงการ ตั้งอยู่บนทำเลยุทธศาสตร์ศูนย์กลางโลจิสติกส์-ผู้เช่าชั้นนำในกลุ่ม E-Commerce FMCG-มั่นคงด้วยสัญญาเช่าเฉลี่ยระยะยาว ส่วนผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปีโดดเด่น โชว์รายได้รวม 1,932.43 ล้านบาท ขณะที่การเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์สุทธิจากการดำเนินการอยู่ที่ 1,521.20 ล้านบาท เคาะจ่ายผลตอบแทนให้ผู้ถือหน่วย รอบ 1 มิถุนายน – 31 ตุลาคม ในอัตรา 0.2553 บาทต่อหน่วย
นายอนุวัฒน์ จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ เรียล เอสเตท แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) เปิดเผยว่า หลังจากที่เปิดให้กลุ่มผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมของกองทรัสต์ WHART ที่มีสิทธิจองซื้อหน่วยทรัสต์ เพิ่มทุนครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 8-12 พ.ย.2564 และเปิดให้กลุ่มนักลงทุนทั่วไป จองซื้อหน่วยทรัสต์ ระหว่างวันที่ 16 -19 พ.ย.2564 ที่ผ่านมา โดยเสนอราคาสุดท้ายที่ราคา 12.60 บาทต่อหน่วย ปรากฏว่านักลงทุนให้การตอบรับอย่างดี ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของสินทรัพย์ที่กองทรัสต์ WHART จะเข้าลงทุนเพิ่มทั้ง 3 โครงการ มีพื้นที่เช่ารวมประมาณ 184,329 ตารางเมตร ครอบคลุมจุดยุทธ์ศาสตร์บนพื้นที่อุตสาหกรรมเป้าหมายหลักด้านโลจิติกส์ของประเทศไทย และพื้นที่รองรับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
สำหรับทรัพย์สินที่กองทรัสต์เข้าไปลงทุนในครั้งนี้ ประกอบด้วย โครงการ ดับบลิวเอชเอ เมกกะโลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ (วังน้อย 62) โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ (ถนนบางนา-ตราด กม. 23 โปรเจค 3) และ โครงการดับบลิวเอชเอ อี คอมเมิร์ซ พาร์ค ตั้งอยู่ที่อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยทั้ง 3 โครงการ มีผู้เช่าที่เป็นบริษัทชั้นนำอยู่ในกลุ่มธุรกิจที่เติบโต อาทิ กลุ่มธุรกิจ E-Commerce และ FMCG ซึ่งเป็นธุรกิจที่ได้อานิสงส์ทางบวกจากสถานการณ์โควิด-19 และมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ความโดนเด่นจากการเพิ่มทุนในครั้งนี้ คือการกระจายความเสี่ยงของกองทรัสต์ได้เป็นอย่างดี โดยจะเห็นได้จากสัดส่วนพื้นที่เขต EEC จะเพิ่มขึ้นจาก 14.1% เป็น 20.6% ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลที่เน้นส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ในขณะที่สัดส่วน Built-to-Suit จะเพิ่มขึ้นจาก 55% เป็น 58% ซึ่งจะเป็นการเพิ่มศักยภาพความมั่นคงทางรายได้ในระยะยาว
การเพิ่มทุนครั้งนี้ ยังเพิ่มสัดส่วนผู้เช่าในกลุ่มธุรกิจ E-Commerce อย่างมีนัยสำคัญจาก 6% เป็น 17% (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564) และทำให้กองทรัสต์เองมีผู้เช่ารายใหญ่ในกลุ่ม E-Commerce เกือบครบทุกราย ไม่ว่าจะเป็น Alibaba, Shopee Xpress, JD Central, Kerry และ Flash Express เป็นต้น
นอกจากนี้ทรัพย์สินที่จะเข้าลงทุนในครั้งนี้ยังมีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยในระดับสูงถึงร้อยละ 92 และมีอายุสัญญาเช่าคงเหลือของผู้เช่าเฉลี่ย (WALE) อยู่ที่ 10.7 ปี ส่งผลให้ภายหลังทำการเพิ่มทุนอายุสัญญาเช่าคงเหลือของผู้เช่าเฉลี่ยจะปรับสูงขึ้น อยู่ในระดับ 3.5 ปี เนื่องจากโครงการที่กองทรัสต์ลงทุนในครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นประเภท Built-to-Suit และมีสัญญาเช่าของผู้เช่าที่ยาว
ทั้งนี้ภายหลังการลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินหลักในครั้งนี้แล้วเสร็จ จะส่งผลให้ WHART มีมูลค่าทรัพย์สินรวมของกองทรัสต์ แตะที่ระดับกว่า 48,000 ล้านบาท และมีพื้นที่เช่าภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นเป็น 1.58 ล้านตารางเมตร ซึ่งทำให้กองทรัสต์ WHART เป็นผู้นำของกองทรัสต์ประเภทศูนย์กระจายสินค้า คลังสินค้าและโรงงานที่ใหญ่ที่สุดประเทศไทย ที่สำคัญยังสามารถจ่ายประโยชน์ตอบแทนและเงินลดทุนได้ไม่ด้อยไปกว่าเดิมอ้างอิงงบกำไรขาดทุนและการจ่ายประโยชน์ตอบแทนตามสถานการณ์สมมติในปี 2565 (ม.ค.-ธ.ค.65) จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 0.80 บาทต่อหน่วย
และเพื่อเป็นการตอกย้ำความแข็งแกร่งของผลการดำเนินงานของกองทรัสต์ WHART ล่าสุดได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงภาพรวมของผลการประกอบการงวดที่ผ่านมาว่า กองทรัสต์มีทิศทางที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากการขยายตัวของกลุ่มผู้เช่าในอุตสาหกรรมผู้ให้บริการโลจิสติกส์ (3PLs) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) และ E-Commerce ซึ่งเป็นกลุ่มผู้เช่าหลักของกองทรัสต์ที่มีการเติบโตและมีการใช้พื้นที่คลังสินค้าเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้อัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ย (Average Occupancy Rate) ของกองทรัสต์ WHART ณ ไตรมาส 3/2564 เพิ่มขึ้นมาเป็น 92 % จากครึ่งปีแรกที่มีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ย 88 % ส่งผลให้งวด 9 เดือนแรกปี 2564 รายได้รวมเท่ากับ 1,932.43 ล้านบาท และมีการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์สุทธิจากการดำเนินงาน (กำไรสุทธิ) เท่ากับ 1,521.20 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 3/2564 มีรายได้รวมเท่ากับ 689.41 ล้านบาท และมีการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์สุทธิจากการดำเนินงาน (กำไรสุทธิ) เท่ากับ 498.78 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กองทรัสต์ WHART ได้มีการออกหุ้นกู้จำนวน 2,000 ล้านบาท เพื่อชำระคืนเงินกู้ยืมก่อนครบระยะสัญญา โดยออกหุ้นกู้จำนวน 2 ชุด สำหรับระยะเวลา 5 ปี และ 7 ปี ชุดละ 1,000 ล้านบาท ซึ่งการออกหุ้นกู้ดังกล่าว ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินลดลง เป็นการตอกย้ำศักยภาพฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของกองทรัสต์ WHART
จากผลการดำเนินงานที่กล่าวมา ทำให้กองทรัสต์มีการจ่ายประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้ถือหน่วย สำหรับรอบผลการดำเนินงาน 1 กรกฎาคม – 31 ตุลาคม 2564 ในอัตรา 0.2553 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นการจ่ายประโยชน์ตอบแทนได้ในอัตราที่ไม่น้อยไปกว่าเดิมเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันกับปีก่อนหน้า