ถ้าพูดถึงร้านค้าปลีกด้านสุขภาพและความงามอันดับ 1 ในประเทศ ‘วัตสัน’ คงเป็นหนึ่งในร้านที่ใครหลายคนนึกถึงกับภาพจำในเรื่องของโปรโมชั่นที่ทำให้เงินในกระเป๋าของคุณไม่อยู่นิ่ง แต่เบื้องหลังสำหรับเส้นทางสู่การเป็นแบรนด์ในใจของผู้บริโภคของ ‘วัตสัน ประเทศไทย’ ที่นอกเหนือจากโปรโมชั่นมากมาย ยังมีอีกหลากหลายเรื่องราวที่ทำให้วัตสันนั้นอยู่คู่กับเรามานานถึง 25 ปี
เราจึงอยากพาทุกท่านร่วมเดินทางผ่านเรื่องราว 10 เหตุการณ์สำคัญของการมีลูกค้าเป็นศูนย์กลางในการมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งเกี่ยวกับความงามและสุขภาพ นี่คือเส้นทางและความเป็นมาของวัตสัน
#1 ในปี พ.ศ. 2539 เปิดสาขาแรกที่อาคารมณียาเซ็นเตอร์: วัตสันได้เปิดร้านค้าเพื่อสุขภาพและความงามรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีในประเทศไทยมาก่อน ณ ขณะนั้น และเลือกใช้ Strategic location อย่างย่านสยาม – ราชประสงค์ ในการเปิดสาขาแรก และ
ณ ปัจจุบัน สาขานี้ยังเปิดให้บริการอยู่
#2 ในปี พ.ศ. 2548 ครบรอบ 9 ปีพร้อม 100 สาขา: แม้วัตสันจะเข้ามาเปิดที่ไทยได้ไม่นาน แต่กลับกลายเป็นผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามในประเทศไทยที่มีครบ 100 สาขา เพราะต้องการเข้าหาลูกค้าในทุกภูมิภาค และเพื่อให้แน่ใจว่าคนไทยจะไม่พลาดการช้อปปิ้งสินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม และ ณ ปัจจุบันมีสาขารวมทั้งหมดกว่า 600 สาขาทั่วประเทศ
#3 ในปี พ.ศ. 2552 เปิดตัว ‘บัตรสมาชิกวัตสัน’: เพื่อเป็นการมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า ให้ลูกค้าสามารถสมัครเป็นสมาชิกกับวัตสัน และได้รับสิทธิพิเศษมากมาย ทั้งการสะสมแต้ม การใช้แต้มแลกเป็นส่วนลด รวมถึงได้ช้อปปิ้งสินค้าในราคาสมาชิก และอื่นๆ อีกมากมาย และปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 6 ล้านสมาชิก
#4 ในปี พ.ศ. 2556 เติมพลังบวกให้ผู้หญิงผ่านโครงการ ‘Green Ribbons’: ตั้งแต่วันสตรีสากล ในปี พ.ศ. 2556 ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน วัตสันได้จัดจำหน่ายโบว์สีเขียว นำรายได้ทั้งหมดมอบให้กับสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี เพื่อสนับสนุนเด็กและสตรีในสังคม นอกจากนี้ วัตสันได้มีการจัดกิจกรรมระดมทุนในหลากหลายรูปแบบให้กับสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีมาตลอดระยะเวลากว่า 15 ปี โดยมีเป้าหมายคือ การให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กที่ประสบปัญหา ได้กลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติอีกครั้ง
#5 ในปี พ.ศ. 2559 เชื่อมออฟไลน์สู่ออนไลน์ครั้งแรก: หน้าที่ของวัตสันคือการทำให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้นจึงมีการพัฒนาระบบทางออนไลน์เพื่อเชื่อมต่อกับลูกค้าให้มากขึ้น จนปัจจุบันวัตสันได้สร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบไร้รอยต่อด้วยกลยุทธ์ O+O (Offline plus Online) เพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้ลูกค้าซื้อสินค้าได้ทุกที่ ทุกเวลา
#6 ในปี พ.ศ. 2561 สร้างรอยยิ้มให้น้องด้วยแคมเปญ ‘Give a Smile’: เพราะทุกๆ 3 นาที จะมีเด็กที่เกิดมาพร้อมรูปหน้าผิดปกติ มีอาการปากแหว่งเพดานโหว่ เอ.เอส วัตสัน บริษัทแม่ของวัตสัน ประเทศไทย มีความมุ่งมั่น ที่จะนำรอยยิ้มให้กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง ด้วยการมอบรายได้จากการจำหน่ายสินค้าภายใต้แคมเปญ ‘Give a Smile’ เพื่อแก้ไขภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ และความผิดปกติอื่นๆ บนใบหน้า และให้ลูกค้าได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้น้องๆ ได้มีรอยยิ้มที่สดใส ตั้งแต่เริ่มแคมเปญมาได้สร้างร้อยยิ้มไปแล้วกว่า 1,500 รอยยิ้ม และมีความมุ่งมั่น ที่จะนำ 10,000 รอยยิ้มให้กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง ภายในปี 2573
#7 ในปี พ.ศ. 2562 ช้อปเพลินทั่วเอเชียกับโปรแกรม ‘Watsons One Pass’: เป็นธรรมดาของลูกค้าหลายๆ คนที่ชื่นชอบการช้อปปิ้งและได้ท่องเที่ยวในเวลาเดียวกัน วัตสันจึงได้มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบไร้พรมแดนผ่านโปรแกรมนี้ให้สมาชิกสามารถช้อปปิ้ง สะสมแต้ม และใช้แต้มได้ในทั้งไทย ฮ่องกง มาเก๊า จีน ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
#8 ในปี พ.ศ. 2563 เจ้าแรกของ H&B ที่มีการจัด Live Virtual Event: วัตสันได้มีการพัฒนา และปรับตัวให้ทันสถานการณ์ social distancing จึงได้ทำการจัดงานแบบ Interactive Live Event ผสานกับการนำเทคโนโลยีเสมือนจริง (AR) ขนขบวนดาราศิลปินร่วมงาน เพื่อต้องการคืนกำไรสร้างความสุขให้กับลูกค้าในช่วงเวลาที่ต้องห่างไกลกัน
#9 ในปี พ.ศ. 2563 ตอกย้ำจุดยืนรักษ์โลกด้วยสินค้าและแนวคิด ‘Sustainable choices’: วัตสันตระหนักและใส่ใจอย่างจริงจังในการดูแลรักษาโลกอย่างยั่งยืน จึงจับมือร่วมกับคู่ค้าระดับโลก เพื่อนำเสนอสินค้าที่จะสามารถตอบโจทย์ความยั่งยืน ที่มีคุณภาพ มีราคาเข้าถึงได้ง่าย และช่วยให้ลูกค้าได้มีส่วนร่วมในการทำให้โลกใบนี้ดียิ่งขึ้น
#10 ในปี พ.ศ. 2564 ไม่ต้องพกบัตรอีกต่อไปกับ ‘Member Virtual Card’: สืบเนื่องจากปัจจุบันผู้คนหันมาใช้ Digital platform ในการดำรงชีวิตมากยิ่งขึ้น วัตสันจึงทำ Member Virtual Card ขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการรับสิทธิประโยชน์ให้สมาชิก
โดยสามารถโชว์บาร์โค้ดผ่านแอปฯ Watsons TH ได้เลย
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในเส้นทางการเดินทางอันยาวนานของวัตสันตลอดระยะเวลากว่า 25 ปีที่ผ่านมา และหลายๆ คนอาจเห็นแล้วว่าแบรนด์ที่สามารถอยู่มาได้นานจะต้องมีการปรับตัวให้สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละยุค แต่ละสมัย และที่สำคัญการมีลูกค้าเป็นศูนย์กลางคืออีกหนึ่งปัจจัยหลักที่สามารถทำให้แบรนด์สามารถอยู่ต่อไปได้อีกยาวนาน