แม้จะต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความมืดมนของการระบาดของ COVID-19 แต่ท่ามกลางความมืดนั้นก็ยังมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ สิ่งนั้นก็คือ นวัตกรรมที่ทำให้เราเชื่อมต่อกับโลกดิจิทัล ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกและสร้างการเปลี่ยนแปลงให้แก่การทำงานและการสื่อสารของเรามากยิ่งขึ้น
ในขณะที่โรคระบาดยังไม่มีทีท่าจะหายไปง่าย ๆ การหันมาใช้โครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล (digital infrastructure) เพื่อรองรับการทำงานระยะไกลและการทำธุรกรรมและธุรกิจออนไลน์จึงกลายเป็นที่แพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ ซึ่งกลายเป็นอุตสาหกรรมที่เฟื่องฟูในประเทศไทยในช่วงโรคระบาด เนื่องจากผู้บริโภคนิยมซื้อของจากที่บ้านมากขึ้นและมีการปิดร้านค้าออฟไลน์และร้านอาหารต่าง ๆ ในช่วงล็อกดาวน์
เจ้าของธุรกิจต่าง ๆ เริ่มเรียนรู้ว่า การเปลี่ยนจากการมีหน้าร้านเพียงอย่างเดียวเป็นร้านค้าออนไลน์จะช่วยให้พวกเขาฝ่าฟันอุปสรรคและก้าวต่อไปได้ ซึ่งกรณีนี้เกิดขึ้นในธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) และแบรนด์ต่าง ๆ ในประเทศไทยเช่นเดียวกับแบรนด์ต่าง ๆ ทั่วโลก สอดคล้องกับรายงานของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าของประเทศไทยที่กล่าวว่า ในช่วงเจ็ดเดือนแรกของปีนี้ มีธุรกิจเข้ามาจดทะเบียนในรูปแบบอีคอมเมิร์ซกว่า 794 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีการจดทะเบียนเพียง 576 รายเท่านั้น
ธุรกิจจำนวนมากกำลังก้าวเข้าสู่โลกอีคอมเมิร์ซ ผู้ขายออนไลน์มือใหม่จึงต้องเผชิญกับโลกของการค้าออนไลน์เป็นครั้งแรกโดยไม่มีประสบการณ์ที่มากพอ ธุรกิจที่กำลังมองหาลู่ทางเพื่อยกระดับทักษะด้านอีคอมเมิร์ซของตนพบว่า แบรนด์ของพวกเขามียอดการเข้าเยี่ยมชม (Online Traffic) การรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) รวมไปถึงยอดขายที่มากขึ้น ผ่านการมีส่วนร่วมกับลูกค้าทั้งในประเทศและทั่วโลกด้วยแพลตฟอร์มที่กว้างขวางขึ้น
การขยายความรู้ด้านอีคอมเมิร์ซเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ
ตัวอย่างแบรนด์ที่ใช้วิธีนี้คือ บริษัท แทนทอง อาร์ต จำกัด ซึ่งจำหน่ายผลิตภัณฑ์อัญมณีทำมือ ในช่วงแรก ทางแบรนด์ขายผ่านร้านค้าปลีกแบบออฟไลน์และขายที่งานแสดงสินค้ามาโดยตลอด และเมื่อ COVID-19 ระบาดจนทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ช่วงล็อกดาวน์ ทางแบรนด์ก็สัมผัสได้ถึงความลำบากเพราะขาดแหล่งขายสินค้าหลักไป
วัลยา สุวรรณาภิรมย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แทนทอง อาร์ต จำกัด เห็นถึงพลังของอีคอมเมิร์ซเมื่อมีอินฟลูเอนเซอร์ไลฟ์ขายผลิตภัณฑ์ในงานแสดงสินค้าและขายคอลเลคชันของบูธหมดภายในวันเดียว ดังนั้น ด้วยความมุ่งมั่นที่จะขยายความรู้ด้านอีคอมเมิร์ซและช่วยให้บริษัทของเธอเติบโตท่ามกลางวิกฤติโควิด เธอจึงเข้าร่วมโครงการฝึกอบรม Alibaba Netpreneur ซึ่งจัดโดย Alibaba Global Initiatives (AGI)
โครงการดังกล่าวช่วยให้ผู้ประกอบการและผู้นำด้านธุรกิจนำขั้นตอนที่เป็นรูปธรรมและใช้ได้จริงไปยกระดับแบรนด์ของตนเองเพื่อเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล (digital economy) ตามเส้นทางการเป็นผู้ประกอบการของอาลีบาบา ซึ่งทำให้ฐานลูกค้าของ แทนทอง อาร์ต ขยายตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% และทำให้เห็นยอดขายเติบโตมากกว่า 20% ในช่วง 10 เดือน นับตั้งแต่ที่ทางแบรนด์เปลี่ยนรูปแบบการขายสู่ออนไลน์และเปิดตัวเว็บไซต์เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
“นอกเหนือจากกระแสอีคอมเมิร์ซแล้ว โครงการนี้ยังช่วยทำให้เราเห็นว่า เราสามารถนำข้อมูลเชิงลึกและโมเดลธุรกิจไปใช้กับบริษัทของเราได้อย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยพลิกธุรกิจของเรา นอกจากนี้ เรายังสามารถเข้าถึงฐานลูกค้าทั่วโลก และผ่านความยากลำบากที่เกิดจากโรคระบาดในครั้งนี้” คุณวัลยากล่าว
เปิดรับเส้นทางใหม่ เพื่อรับความเสี่ยง
ในขณะที่คนทั้งโลกต้องดำเนินชีวิตและทำงานต่อไปในสภาพแวดล้อมที่มีโรคระบาด การได้รับประสบการณ์และโอกาสใหม่ ๆ จึงจำเป็นต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน อีคอมเมิร์ซจะเป็นรูปแบบหลักในการจับจ่ายซื้อของในอนาคตอันใกล้ และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับธุรกิจในการทำให้ลูกค้ามีส่วนร่วมกับแบรนด์และทำให้แบรนด์อยู่เหนือวิกฤติโรคระบาดได้
คุณวัลยาย้ำว่า “สถานการณ์การระบาดของโควิดในครั้งนี้ทำให้เรารู้ว่า เราควรปรับเปลี่ยนธุรกิจของเราให้เป็นแบบออนไลน์ให้เร็วที่สุด อีกทั้งเรายังต้องประเมินรูปแบบธุรกิจของเราใหม่ รวมไปถึงวิธีการสร้างแบรนด์ให้กับลูกค้าของเรา ในฐานะที่เราเป็นธุรกิจที่ใหม่มาก ๆ สำหรับอีคอมเมิร์ซ เราจึงตระหนักได้ว่า ขั้นตอนแรกในเส้นทางอีคอมเมิร์ซของเราคือการหาช่องทางและแพลตฟอร์มที่เหมาะสมเพื่อพาให้เราบรรลุเป้าหมายนี้”
Related