ทำตลาดในไทยมาแล้วถึง 8 ปีสำหรับแบรนด์สมาร์ทโฟนสัญชาติจีนอย่าง ‘วีโว่’ (Vivo) แม้จะทำตลาดมาอย่างยาวนานจนมีสาขากว่า 130 สาขา แต่กลับไม่เคยมี ‘แฟลกชิปสโตร์’ ในที่สุดแบรนด์ก็ทุ่มงบถึง 40 ล้านบาทสร้างแฟลกชิปสโตร์แห่งแรกที่สยามพารากอน พร้อมส่งสัญญาณการโหมทำตลาด 5G
เบล เฮ่อ ผู้บริหารฝ่ายขาย วีโว่ (ประเทศไทย) กล่าวว่า สาเหตุที่ Vivo เปิดแฟลกชิปสโตร์ครั้งแรกแม้จะทำตลาดในไทยมา 8 แล้วก็คือ ต้องการ ‘โชว์นวัตกรรม’ ใหม่ ๆ ซึ่งสโตร์นี้จะมีการนำ ‘คอนเซ็ปต์สมาร์ทโฟน’ ที่ยังไม่วางจำหน่ายมาให้ลูกค้าได้สัมผัส พร้อมกับนำเสนอสินค้าใหม่ ๆ รวมถึงให้บริการแบบพรีเมียม ทั้งนี้ สโตร์ดังกล่าวได้ออกแบบภายใต้แนวคิด ‘ความสุขของมนุษย์’ โดยตั้งอยู่ที่ชั้น 3 สยามพารากอน
“เรารู้ว่าแม้การระบาดของโควิดยังไม่หมดไป แต่เรามีแผนที่จะเปิดแฟลกชิปสโตร์นานแล้ว ดังนั้นไม่ช้าก็เร็วยังไงก็ต้องเปิด เราจึงเลือกที่จะเปิด โดยหากถ้าสโตร์ได้รับการตอบรับที่ดี ในอนาคตก็มีโอกาสที่เราจะขยายไปที่อื่นต่อไป”
ในปีที่ผ่านมา Vivo มียอดขายสมาร์ทโฟนกว่า 3 ล้านเครื่อง คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด 19% ของตลาดรวม โดยรวมตลอด 8 ปีมีผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนของแบรนด์รวม 10 ล้านคน และในส่วนของตลาดสมาร์ทโฟน 5G แบรนด์เองมีส่วนแบ่งการตลาดที่ 19% เช่นกัน
ทั้งนี้ ในตลาดเอเชียแปซิฟิกทั้งหมด Vivo มียอดจัดส่งสมาร์ทโฟน 5G สูงสุดช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 ที่ผ่านมา โดยครองส่วนแบ่งของยอดจัดส่งสมาร์ตโฟน 5G ได้มากถึง 1 ใน 5 โดยมีอัตราการเติบโตของการจัดส่ง (Shipment) ต่อปีสูงถึง 215% อ้างอิงจากรายงานของบริษัทวิจัยข้อมูลตลาดชั้นนำอย่าง Strategy Analytics
“5G จะนำประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับผู้บริโภค ทั้งการใช้งานโซเชียล การเล่นเกม และการใช้งานในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะยิ่งทำให้เขารู้สึกสนุกที่จะใช้งาน ผู้บริโภคก็จะยิ่งเริ่มสนใจที่จะใช้งานสมาร์ทโฟน 5G ดังนั้น 5G ถือว่ามีส่วนสำคัญในการเติบโตของตลาด”
สำหรับปีนี้ Vivo มีแผนที่จะเปิดสโตร์เพิ่มอีก 10% จากจำนวนปัจจุบันที่ 130 สาขา และรุกตลาดสมาร์ทโฟน 5G อย่างต่อเนื่อง โดยจะนำ สมาร์ทโฟน 5G เข้ามาทำตลาดอีก 7 รุ่น ครอบคลุมกลุ่ม กลาง-บน โดยจะเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพของสมาร์ทโฟนเพื่อตอบสนองต่อการเล่นเกม การทำงานเพื่อรับเทรนด์ Work From Home โดยภายในสิ้นปี Vivo ต้องการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟน 5G เป็น 25% ส่วนยอดขายรวมทั้งหมดตั้งเป้าไว้ไม่ต่ำกว่า 3 ล้านเครื่อง
“ภาพรวมตลาดสมาร์ทโฟนไทยเติบโตประมาณ 5% และตอนนี้ผู้บริโภคมีตัวเลือกเยอะมาก แต่ละแบรนด์ก็จะมีเป้าหมายผู้บริโภคแตกต่างกันไป แต่ที่เราอยู่มาได้ถึง 8 ปีเป็นเพราะเราเอาผู้บริโภคเป็นที่ตั้ง พยายามนำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการจริงด้วย 5 เซ็กเมนต์ที่ครอบคลุมตั้งแต่รุ่นล่าง-บน นอกจากนี้เรายังให้ความสำคัญกับบริการหลังการขายถ้าทั้ง 2 ส่วนนี้ดียอดขายก็จะตามมา”