บริษัท อีตั้น อิเล็คทริค (ประเทศไทย) จำกัด (Eaton) หนึ่งในบริษัทผู้นำนวัตกรรมด้านไฟฟ้าและบริการทางด้านการจัดการพลังงานไฟฟ้าระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา ปรับตัวรับ Next Normal พร้อมเปิดนวัตกรรมทางด้านไฟฟ้าเพื่อรับกับเทรนด์ของโลก รวมถึงการบริการแบบ One-stop service ที่สามารถเริ่มตั้งแต่รับคำปรึกษา นำเสนอโซลูชั่น ติดตั้งระบบไปจนถึงการบริการหลังการขาย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายปริญญา พงษ์รัตนกูล ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท อีตั้น อิเล็คทริค (ประเทศไทย) จำกัด (EATON) ได้เปิดเผยว่า “ในขณะนี้ทางบริษัทของเรา ได้โฟกัสกลุ่มธุรกิจหลักๆด้วยกัน ประกอบไปด้วย ระบบสาธารณูปโภค (Infrastructure) ดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) เฮลธ์แคร์ (Health Care) อิเลคทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ (Electronic and Semi-con) ทั้งนี้ด้วยการลงทุนด้านระบบพลังงานไฟฟ้าของไทยในกลุ่มเหล่านี้ยังคงเติบโตต่ออย่างเนื่อง เพื่อมุ่งสู่การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้แนวคิด Smart Grid Smart Solutions รวมไปถึงการลงทุนในระบบซอฟท์แวร์เพื่อการบริหารจัดการพลังงานหลักและพลังงานทางเลือกที่เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ช่วยลดต้นทุน และสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับภาครัฐและเอกชน ถือเป็นสิ่งจำเป็นและทำให้ธุรกิจของอีตั้นในประเทศไทยเติบโต
สำหรับในสถานการณ์ปัจจุบันนี้เนื่องจากว่า มีการปรับตัวมาสู่การทำงาน WFH มากขึ้นส่งผลให้การใช้พลังงานไฟฟ้าในบ้านเราเพิ่มมากยิ่งขึ้น เราจึงได้มีแผนการในการในการปรับตัวในการพัฒนาระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ ซึ่งทั้งนี้เราคาดการณ์ว่าในปี 2565 นี้ จะมีการเติบโตทางด้านการลงทุนในอุตสาหกรรม ทั้งจากภาคเอชน และภาครัฐ ในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน ระบบสาธารณูปโภค ต่างๆ ทั้ง สนามบิน รถไฟความเร็วสูง หรือการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าให้ครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลให้เกิดการขับเคลื่อนในเรื่องของการลงทุนทั้งสิ้น
สำหรับในปีที่ผ่านมาเราเติบโตจากเดิมประมาณ 10% ทั้งนี้เรายังมีการเพิ่มกำลังคนในทีมฝ่ายขายและฝ่ายบริการเพื่อรองรับการเติบโตของยอดขายอีกด้วย ทั้งนี้ในเรื่องของการลงทุนจากที่กล่าวมาในข้างต้นเรายังพบว่า ลงทุนของระบบการเก็บข้อมูลใน คลาวด์ (Cloud) และห้องศูนย์ข้อมูล (Data Center) เพื่อรองรับระบบ5G อีกทั้งการที่รัฐบาลกำลังผลักดันให้เมืองไทยเป็นศูนย์กลางทางด้านสุขภาพในภูมิภาคนี้ ซึ่งระบบสำรองไฟสำหรับในอุปกรณ์ช่วยชีวิตต่าง ๆ ในโรงพยาบาลก็มีความจำเป็นมากเช่นกัน ซึ่งทาง Eaton สามารถที่จะเข้าไปช่วยสนับสนุนในกลุ่มธุรกิจประเภทเหล่านี้ในด้านโซลูชั่นของไฟฟ้าได้อย่างครบวงจร รวมไปถึงการบริการหลังการขายด้วยทีมงานมืออาชีพ
ในส่วนของการรองรับ Next Normal นั้น อีตั้นยังขอแนะนำนวัตกรรมเพื่อช่วยสนับสนุน Next Normal ให้กับบริษัทขนาดกลางและเล็กในการจัดเก็บข้อมูลของตัวเองใน cloud ให้เพียงพอขึ้นและมีความปลอดภัยอย่าง Micro Data Center 2.0 ที่เป็นอุปกรณ์ที่รวมเอาอุปกรณ์ที่จำเป็นในห้อง Data center มา integrate ไว้ในตู้เพียงตู้เดียวเพื่อลดต้นทุนการสร้างห้องดาต้าเซ็นเตอร์ของบริษัท สามารถประกอบและใช้งานได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงติดตามข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ได้
และยังมีอีกหนึ่งนวัตกรรมล่าสุดของเราคือ EnergyAware® UPS ที่ อีตั้นได้คิดค้นมาเพื่อเพิ่มมูลค่าของดาต้าเซ็นเตอร์จากคุณสมบัติของอุปกรณ์สำรองไฟ ที่นอกจากจะมีหน้าที่ในการสำรองไฟฟ้าแล้ว ยังทำหน้าที่ควบคุมคุณภาพของไฟฟ้าที่ส่งไปยังโหลดและระบบไฟฟ้าจากการไฟฟ้าหรือ Grid และควบคุมการจ่ายไฟฟ้าเป็นไปตามความต้องการของผู้ใช้ รวมทั้งการประหยัดค่าไฟฟ้าผ่านฟีเจอร์ power management เช่นการหลีกเลี่ยงการใช้ไฟฟ้าช่วง On peak แทน เป็นต้น เรามองไปถึงอนาคตของการใช้งานแบตเตอรี่ที่กำลังเปลี่ยนจากแบตเตอรี่ชนิดตะกั่วกรดมาเป็นแบตเตอรี่ลิเธียมแทน ด้วยราคาของแบตเตอรี่ลิเทียมที่ถูกลงและอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น ทำให้ทางอีตั้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ยูพีเอสให้รองรับแบตเตอรี่ลิเทียมในทุกๆขนาดใช้งาน
ด้วยคุณสมบัติที่กล่าวมาทำให้การลงทุนในระบบดาต้าเซ็นเตอร์ด้วย EnergyAware UPS ช่วยเพิ่มมูลค่าของดาต้าเซ็นเตอร์ให้มีคุณสมบัติเฉกเช่นเดียวกับ Energy Storage ที่สามารถจ่ายไฟที่เหลือจากการใช้งานคืนไปยัง Grid ของการไฟฟ้า มากไปกว่านั้น ด้วยการใช้งานร่วมกับ Eaton Intelligent Platform ที่พัฒนาโดยอีตั้น สามารถช่วยให้การบริหารจัดการดาต้าเซ็นเตอร์มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยจะถือเป็นโซลูชั่นใหม่ที่จะตอบสนองความต้องการให้ลูกค้าและเข้ามาช่วยในการทำงานของผู้ใช้งานให้มีประสิทธิภาพและสะดวกสบายมากขึ้น”