o แสนสิริ รุกตามเป้าหมาย Net-Zero เดินหน้าพันธกิจสีเขียว ก้าวขับเคลื่อนองค์กรด้วย 4 แกนหลัก Process-Product-Partner-Investment ครอบคลุมการลดคาร์บอนทุกมิติ
o ล่าสุด ประกาศปี 2565 บ้านเดี่ยวแสนสิริทุกหลังในทุกโครงการใหม่ ติดตั้ง Solar Roof 100% พร้อมวางเป้า บ้านเดี่ยวแสนสิริ 6,000 หลัง ติด Solar Roof 100% ใน 3 ปี ประหยัดค่าไฟให้ลูกบ้านรวม 1,600 ล้านบาทในเวลา 25 ปี ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ 8,000 ตัน และเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 535,000 ต้น หรือปลูกป่า 2,673 ไร่
o พื้นที่ส่วนกลางของทุกโครงการใหม่ รวม 46 โครงการ จะติดตั้ง Solar Roof 100% ช่วยลูกบ้านประหยัดสูงสุด 170,000 บาทต่อปี/1โครงการ
o ไฟส่องสว่างในสวนทุกโครงการแนวราบจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์ โดยติดตั้งเพิ่มอีก 28 โครงการแนวราบในปี 65 เพิ่มจากเดิมที่มี 34 โครงการในปี 64
o โครงการบ้านเดี่ยวระดับบนของแสนสิริติด EV Charger 100% โดยการติดเครื่องชาร์จให้บ้านเดี่ยว 1,860 หลังภายใน 3 ปี ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศได้กว่า 20,000 ตัน เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ประมาณ 1,300,000 ต้นต่อปี หรือปลูกป่า 6,500 ไร่
o เผยมองเห็นการเติบโตก้าวกระโดดของธุรกิจที่ชาร์จรถไฟฟ้า EV ล่าสุดเข้าลงทุนถือหุ้นใน ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SHARGE) 5% หริอคิดเป็น 15 ล้านบาท เพื่อสร้างรายได้ยั่งยืน จาก Green Investment รองรับกระแสโลก และสนับสนุนการเข้าสู่ Net-Zero ของแสนสิริด้วยการติดตั้ง EV Charger ในบ้านทุกหลังให้ได้ภายในปี 2573 ตามเป้าหมายที่วางไว้
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าแสนสิริในฐานะผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ให้ความสำคัญในเรื่อง Climate Change และการกู้วิกฤตสิ่งแวดล้อมโลกอย่างเร่งด่วนมาโดยตลอด ได้กำหนดเป้าหมายในการทำธุรกิจเพื่อสร้างจุดเปลี่ยนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ด้วยการประกาศเป้าหมายสู่การเป็น Net-zero องค์กรอสังหาริมทรัพย์แรกในประเทศไทยที่วางพันธกิจในการเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็น “ศูนย์” อย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้กระบวนการขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์ 4 ด้านหลัก “Process – Product – Partners – Investment’ เพื่อมุ่งสู่ Thailand’s First Real-Estate Company to Set Target for Net-zeroเพื่อสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
“แสนสิริได้ว่าจ้างที่ปรึกษาและเข้าเป็นสมาชิกเครือข่ายคาร์บอนนิวทรัลประเทศไทยซึ่งเป็นเครือข่ายที่จัดตั้งโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกแล้ว ซึ่งจะทำให้ทราบว่าปริมาณการปล่อยปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดของแสนสิริภายในไตรมาส 1 นี้ และสามารถประกาศเป้าหมายว่าแสนสิริจะเป็น Net-Zero ได้ภายในปี ใด ด้วยวิธีอย่างไร ได้ภายในปีนี้ นอกจากนั้น ยังพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น มุ่งสู่การใช้พลังงานสะอาด ใช้ทรัพยากรอย่างมีคุณค่า และบริหารจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเป้าหมายระยะสั้น -ระยะกลาง – ระยะยาว เพื่อช่วยสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด โดยจะร่วมมือกับพันธมิตรในการลดการผลิตก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง โดยในปีนี้จะมีการจับมือกับพันธมิตรเพิ่มขึ้นทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้การก้าวสู่ Net-Zero เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเดินหน้าในธุรกิจเพื่อความยั่งยืนมากขึ้นภายใต้งบ 500 ล้านบาทใน 3 ปี โดยปีที่ผ่านมา แสนสิริได้ลงทุน 15 ล้านบาทใน ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SHARGE) ผู้นำด้านการสร้าง EV Charging Ecosystem เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน จากการมองเห็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดของธุรกิจที่ชาร์จรถไฟฟ้า” นายอุทัย กล่าวต่อ
สำหรับเป้าหมายในปี 2565 แสนสิริได้รุกตามเป้าหมาย Net-Zero เดินหน้าพันธกิจสีเขียว โดยจับมือกับ ION (ไอออน) ผู้จัดหาโซลูชั่นพลังงานโซลาร์ครบวงจร เดินหน้าติดตั้ง Solar Roof ในบ้านเดี่ยวแสนสิริทุกหลัง ทุกโครงการใหม่ ในทุกระดับราคา 100% ในปีนี้ รวม 1,825 หลัง แบ่งเป็น บ้านเดี่ยวระดับราคาต่ำกว่า 8 ล้านบาท เช่น สราญสิริ อณาสิริ คณาสิริ ฯลฯ จะติด Solar Roof ขนาด 1.38 kWp รวมจำนวน 1,300 หลัง และ บ้านเดี่ยวระดับราคา 8 ล้านบาทขึ้นไป เช่น เศรษฐสิริ บุราสิริ เดมี่ บูก้าน นาราสิริ ฯลฯ จะติด Solar Roof ขนาด 1.84 kWp รวมจำนวนทั้งสิ้น 525 หลัง
พร้อมวางเป้าหมาย ให้บ้านเดี่ยวแสนสิริ 6,000 หลัง ติด Solar Roof 100% ใน 3 ปี แบ่งเป็น บ้านราคาต่ำกว่า 8 ล้านบาท จำนวน 4,200หลัง หรือคิดเป็น 70% และบ้านราคา 8 ล้านขึ้นไป จำนวน 1,800 หลัง หรือคิดเป็น 30% ทั้งนี้ การติด Solar Roof ในบ้านเดี่ยว 6,000 หลัง จะสามารถช่วยโลกและลูกบ้านได้อย่างมหาศาลในอนาคต โดยในระยะเวลา 25 ปี จะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าให้ลูกบ้านทุกหลังรวมกันได้ถึง 1,600 ล้านบาท ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศได้ถึง 8,000 ตัน หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 535,000 ต้น หรือปลูกป่า 2,673ไร่
นอกจากนี้ แสนสิริยังมีเป้าหมายในการติดตั้ง Solar Roof ในส่วนกลางของทุกโครงการใหม่ที่เปิดตัวในปีนี้ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 28 โครงการและคอนโดมิเนียม 18 โครงการ รวมถึงวางเป้าหมายใช้ไฟส่องสว่างในสวนพลังงานแสงอาทิตย์ในทุกโครงการแนวราบ โดยในปีนี้วางแผนติดตั้งเพิ่มเติมอีก 28 โครงการแนวราบ จากในปีที่ผ่านมาที่มีไฟส่องสว่างในสวนจากพลังงานแสงอาทิตย์แล้วจำนวน 34 โครงการ
นายพีรกานต์ มานะกิจ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไอออน เอนเนอร์ยี่ จำกัด เปิดเผยว่า Solar Roof ที่ติดตั้งในบ้านเดียวของแสนสิริ คือ ระบบออนกริด ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อจ่ายไฟฟ้าให้เครื่องใช้ไฟฟ้าในช่วงกลางวัน โดย Solar Roof ที่ติดตั้งในบ้านแสนสิริแบ่งเป็น 2 ขนาด ขึ้น คือ ขนาดติดตั้ง 1.38 kWp สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 2,015 หน่วย/ปี เพียงพอต่อการใช้ไฟฟ้ากับไฟขนาด 10 W จำนวน 10 ดวง แอร์ขนาด 9,000 BTU จำนวน 1 เครื่อง ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าไฟได้ถึง 9,600 บาท/ ปี รวมทั้งขนาดติดตั้ง 1.84 kWp สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 2,687 หน่วย/ปี เพียงพอต่อการใช้ไฟฟ้ากับ ไฟขนาด 10 W จำนวน 15 ดวง แอร์ขนาด 9,000 BTU จำนวน 1 เครื่อง ตู้เย็นขนาด 16 คิว จำนวน 1 ตู้ และทีวี 55” LED จำนวน 2 เครื่อง ซึ่งจะช่วยลูกบ้านประหยัดค่าไฟได้ถึง 12,750 บาท/ปี ขณะที่ Solar Roof ที่ติดในพื้นที่ส่วนกลางโครงการของแสนสิริจะมีกำลังไฟ 15 kWp – 20 kWp ผลิตไฟได้ 22,000 – 35,000 หน่วยต่อปี ซึ่งช่วยประหยัดไฟฟ้าในส่วนกลางให้ลูกบ้านได้ถึง 107,600 – 170,800 บาท ต่อปี/ 1 โครงการ โดยโครงการเศรษฐสิริ พระราม 5 มีการติด Solar Roof ที่คลับเฮาส์เช่นกัน สามารถให้กำลังไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ 10 กิโลวัตต์ ทำให้ช่วงกลางวันสามารถใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในคลับเฮาส์ได้ 100% ประหยัดไฟฟ้าได้กว่า 68,620 บาทต่อปี
บ้านเดี่ยวระดับบนราคาตั้งแต่ 8 ล้านบาทติด EV Charger ทุกหลังในปีนี้
นอกจากนี้ แสนสิริยังได้ร่วมมือและลงทุนใน ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SHARGE) ผู้นำด้านการสร้าง EV Charging Ecosystem เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนและผู้ให้บริการเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าอันดับ 2 ของเมืองไทย เดินหน้าติดตั้ง EV Charger ในโครงการบ้านเดี่ยวระดับบน ระดับราคาตั้งแต่ 8 ล้านบาทที่เป็นโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในปีนี้ จะต้องมีการติด EV Charger ในบ้านทุกหลังให้ได้ 100% โดยมีแผนติดเครื่องชาร์จในบ้านเดี่ยว 1,860 หลัง ภายใน 3 ปีนี้ อันจะช่วยให้ลูกบ้านแสนสิริทุกหลังประหยัดค่าน้ำมันรวมกว่า 150 ล้านบาทต่อปี ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศได้กว่า 20,000 ตัน เทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 1,300,000 ต้นต่อปีหรือปลูกป่า6,500 ไร่
ขณะที่ ปัจจุบันแสนสิริ ได้ติดตั้ง EV Charging Station ในโครงการคอนโดมิเนียมแล้วจำนวน 95 หัวชาร์จ (50 เครื่อง) ใน 28 โครงการ และมีแผนติดตั้งเพิ่มใน 18 โครงการคอนโดมิเนียมในปีนี้ รวมทั้งมีเป้าหมายขยายการติดตั้ง EV Charging Station ให้ครอบคลุมโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการแนวราบที่เปิดใหม่ทุกโครงการ ภายใน 3 ปี และในบ้านทุกหลังในทุก segment ให้ได้ในปี 2573
นายพีระภัทร ศิริจันทโรภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SHARGE) เปิดเผยว่า เครื่องชาร์จรถ EV ที่จะมาติดตั้งในโครงการแสนสิริเป็น เครื่องชาร์จ ABB Terra AC Wallbox 22 kW ของยี่ห้อ ABB นำเข้าโดย SHARGE เป็นเครื่องชาร์จที่เหมาะกับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในที่อยู่อาศัย เนื่องจากใช้งานง่าย เหมาะสำหรับการชาร์จในช่วงกลางคืน ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและสะดวกสบายต่อผู้ใช้งาน สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่และกลุ่มลูกค้าแสนสิริ ที่เลือกซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคา 8 ล้านบาทขึ้นไปที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จเร็ว (Young Success) และมีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวีตแบบยั่งยืน คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม บางส่วนเป็นเจ้าของรถ EV หรือกำลังมองหารถ EV เพื่อใช้ในอนาคต ดังนั้น การติดตั้ง EV charger ในบ้านระดับราคานี้ในช่วง 3 ปีข้างหน้านี้จึงตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายสำหรับการชาร์จไฟของรถยนต์ไฟฟ้า ยังถูกกว่าค่าน้ำมันของรถยนต์สันดาปประมาณ 2 เท่าตัวช่วยให้ลูกบ้านแสนสิริประหยัดค่าใช้จ่าย โดยในการขับรถยนต์ไฟฟ้า 1 กิโลเมตรนั้นต้องจ่ายค่าไฟประมาณ 0.96 บาท ขณะที่ค่าน้ำมันของรถยนต์สันดาป สำหรับการวิ่ง 1 กิโลเมตรจะอยู่ที่ประมาณ 2.4 บาท ทั้งนี้ ลูกบ้านแสนสิริที่ติดตั้ง EV Charger ยังจะได้รับ 1,000 Charging Credit เพื่อชาร์จไฟรถยนต์ EV ที่สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 100 แห่งทั่วประเทศอีกด้วย
แสนสิริคาดหวังว่า ความมุ่งมั่นของแสนสิริในการเป็นอสังหาฯ ไทยรายแรกที่ประกาศพันธกิจในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็น “ศูนย์” และเริ่มรุกหน้าตามเป้าหมาย Net-Zero เดินหน้าพันธกิจสีเขียวตามที่วางไว้ จะช่วยสร้างแรงกระตุ้นการรับรู้ของสังคมให้เกิดการตระหนักถึงการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่ทุกคนสามารถทำได้ โดยเริ่มจาก “บ้าน” ซึ่งเป็นหน่วยเล็กๆ ที่เป็นที่อยู่อาศัยของทุกคน เพื่อร่วมกันสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ให้กับโลกของเรา” นายอุทัยกล่าวปิดท้าย