กรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ จัดงานสัมมนาออนไลน์ KRUNGSRI EXCLUSIVE Investment Outlook 2022: Assessing the Path Ahead รวบรวมกูรูด้านการเงินและการลงทุนทั้งจากกรุงศรีและพันธมิตรถึง 15 ท่าน เผยข้อมูลวิเคราะห์เจาะลึกทิศทางเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 2565 ซึ่งช่วยให้นักลงทุนเข้าใจสถานการณ์และบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนได้อย่างเหมาะสมกับสภาวะการตลาด ตอกย้ำเป้าหมายสู่การเป็น “Investment Wealth Advisory Bank” ธนาคารที่ลูกค้านึกถึงเมื่อต้องการคำแนะนำการลงทุน
ทั้งนี้ สัมมนาในครั้งนี้แบ่งออกเป็น 4 sessions อัดแน่นไปด้วยข้อมูลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ในการลงทุน
Looking Ahead: The Great Rebalancing
The Great Rebalancing หรือการปรับสมดุลครั้งใหญ่ของโลก ซึ่งได้รับเกียรติจาก ดร. สันติธาร เสถียรไทย
ประธานทีมเศรษฐกิจและกรรมการผู้จัดการ บริษัท Sea ซึ่งฉายภาพให้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นทั่วโลก หลังจากทั่วโลกต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 โดย ดร. สันติธาร วิเคราะห์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการปรับสมดุลของโลก ไม่ใช่เพียงเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในปี 2565 นี้เท่านั้น แต่นับจากนี้จะเห็นการปรับสมดุลในมิติต่างๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และส่งผลกระทบโดยรวม ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การลงทุน ธุรกิจ รวมไปถึงการดำเนินชีวิต และสังคมโดยรอบ โดยการปรับสมดุลครั้งใหญ่นี้เกิดจากความไม่สมดุลที่เกิดขึ้นใน 5 มิติ ได้แก่ ความไม่สมดุลด้านเศรษฐกิจมหภาค (Macro Imbalance) ความไม่สมดุลของชีวิตและการทำงาน (Life & Work Imbalances) ความไม่สมดุลเรื่องสิ่งแวดล้อม (Environmental Imbalances) ความไม่สมดุลในด้านสังคม (Social Imbalances) และความไม่สมดุลด้านเทคโนโลยี (Digital Imbalances) ดังนั้นนับจากปี 2565 จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก การเติบโตยังเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่ต้องมาควบคู่กับราคาและต้นทุนที่เหมาะสม (Growth @the “right prices”) นอกจากนี้ การสัมมนาในหัวข้อนี้ ยังมีมุมมองในเรื่องการลงทุนด้าน ESG และการลงทุนอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นธีมที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญในปัจจุบัน และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังเป็นหัวใจสำคัญในการลงทุนของแบล็กร็อก(BlackRock) พันธมิตรระดับโลกของกรุงศรีอีกด้วย
Investment Outlook: แนวโน้มการลงทุน
สัมมนาให้มุมมองในเรื่องค่าเงินและทิศทางอัตราแลกเปลี่ยน ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ และกองทุนต่างๆ โดยกรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์ มีมุมมองต่อค่าเงินบาทในปีนี้ว่า เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่ามากกว่าอ่อนค่า ในช่วงครึ่งแรกของปีความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินสหรัฐฯ ยังคงอยู่และส่งผลกระทบต่อค่าเงิน ทำให้เงินบาทมีโอกาสที่จะอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มค่าเงินบาทจะเปลี่ยนแปลงไปในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากนโยบายของเฟดมีความชัดเจนเพิ่มขึ้น ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี (บลจ.กรุงศรี) ร่วมฉายให้เห็นภาพรวมของตลาดตราสารหนี้ในปีนี้ ซึ่งมีแนวโน้มผันผวนสูงตลอดทั้งปี ปัจจัยกดดันจะเป็นเรื่องของการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นที่เป็นตัวกำหนดทิศทางของสินทรัพย์แต่ละประเภท บลจ.กรุงศรีมีการปรับลดมุมมองตลาดตราสารหนี้ไทยลงสู่ “Slightly bearish” หากต้องการลงทุนในตราสารหนี้ควรให้น้ำหนักกับหุ้นกู้ภาคเอกชน และกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งบลจ.กรุงศรีแนะนำ กองทุนเปิดกรุงศรีสมาร์ทตราสารหนี้ (KFSMART) สำหรับตลาดหุ้นไทย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี (บล.กรุงศรี) มีมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยเป็นบวก โดย Sector ที่น่าสนใจในปีนี้ อยู่ในธีม Valued Stock เช่น Banking, Industrials และ Materials หรือหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก การผลิต และการลงทุน จะสามารถสร้างผลตอบแทนเป็นบวก ขณะที่มีการคาดการณ์ว่า SET จะอยู่ที่ 1,800 จุด
Which Asian Tiger will Rise? มุมมองการลงทุนในตลาดเอเชีย
เปิดมุมมอง 3 เสือในเอเชีย ได้แก่ จีน ไทย และเวียดนาม ซึ่งน่าสนใจสำหรับการลงทุนในปี 2565 นี้ โดยตลาดที่นักลงทุนควรจับตามองคือ ตลาดหุ้นจีน กรุงศรีมีมุมมองต่อตลาดหุ้นจีนในปีนี้ว่า หลังจากผ่านสถานการณ์ต่างๆ รวมถึงการปรับฐานในปีที่ผ่านมา ปีนี้จึงเป็น “New dawn” (ฟ้าวันใหม่) สำหรับตลาดหุ้นจีน เนื่องจากจีนกำลังดำเนินนโยบายผ่อนคลาย ซึ่งสวนทางกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะทางฝั่งยุโรปและสหรัฐฯ ที่กำลังดำเนินนโยบายเข้มงวดขึ้น ดังนั้นต้องยอมรับว่าสิ่งนี้เป็นปัจจัยบวกสำคัญที่ทำให้การลงทุนในจีนมีความน่าสนใจ และมีการคาดการณ์ว่าตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของจีนจะชะลอตัวหรือทำระดับต่ำสุดในไตรมาส 1/2565 อยู่ที่ประมาณ 3% หลังจากนั้นผลของการดำเนินนโยบายผ่อนคลายจะส่งผลให้ตัวเลขทางเศรษฐกิจของจีนปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 2/2565 เป็นต้นไป นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยต่างประเทศจำนวนมากหันมาให้น้ำหนักและความสนใจในตลาดหุ้นจีนปีนี้ สำหรับตลาดหุ้นเวียดนามในปีนี้ยังคงมีความน่าสนใจ ในภาพรวมถือว่ายังมีระดับความผันผวนที่ต่ำเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชีย โดยตัวเลขคาดการณ์ GDP ในปี 2565 อยู่ที่ 7% หลังจากที่รัฐบาลเวียดนามคลายล็อกดาวน์ตั้งแต่ในช่วงปลายปีที่แล้ว ได้ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เช่น การใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคกลับมาเติบโตสูงกว่าช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ถึง 20-30% ขณะที่การใช้จ่ายในกลุ่มค้าปลีกฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับเท่ากับก่อนสถานการณ์โควิด-19 ดังนั้นเชื่อมั่นว่าหากเวียดนามสามารถควบคุมสถานการณ์การระบาดได้ดี ไม่มีการใช้มาตรการล็อกดาวน์ จะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของเวียดนามมีโอกาสเติบโต นอกจากนี้ เวียดนามยังได้อนุมัติผ่านงบประมาณเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนของธุรกิจ ซึ่งงบประมาณนี้จะช่วยส่งเสริมการลงทุนของภาคธุรกิจและภาครัฐบาล โดยแนะนำให้มีการเลือกลงทุนในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ของเวียดนาม เนื่องจากการประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2564 ที่ผ่านมาพบว่ากลุ่มแบงก์ยังสามารถรักษาคุณภาพของสินทรัพย์และมีระดับการเติบโตของสินเชื่อที่ดี นอกจากนี้ ยังมีมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยที่การฟื้นตัวในแต่ละธุรกิจหรืออุตสาหกรรมมีความไม่เท่าเทียมกันทั้งความเสี่ยงและโอกาสในการลงทุน และการจัดพอร์ตการลงทุนควรให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและอัตราเงินเฟ้อ โดยกรุงศรีได้ให้คำแนะนำกองทุนที่เหมาะสมกับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในตลาดเอเชีย ได้แก่ กรุงศรีไชน่าเอแชร์อิควิตี้-สะสมมูลค่า (KFACHINA-A) กองทุนเปิด ทิสโก้ สแตรทิจิก ฟันด์ ชนิดหน่วยลงทุน A (TSF-A) และ กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า (Principal VNEQ-A)
The Alternatives สินทรัพย์ทางเลือก
อีกหนึ่งหัวข้อที่กำลังอยู่ในความสนใจของนักลงทุนในปัจจุบันท่ามกลางความผันผวนของตลาด และสินทรัพย์ทางเลือกเป็นสินทรัพย์ที่ทาง กรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ คัดสรรมาแล้วว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยเพิ่มผลตอบแทนและลดความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุนในระยะยาวได้เป็นอย่างดี โดยมีสินทรัพย์ทางเลือกที่น่าสนใจ อย่างเช่น Private Equity (หุ้นนอกตลาด) Private Real Estate (อสังหาริมทรัพย์นอกตลาด) และ Crypto Asset ซึ่งสินทรัพย์เหล่านี้มีลักษณะเฉพาะเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ทั่วไปในหลายๆ ประเด็น เช่น มีสภาพคล่องต่ำกว่า ต้องการระยะเวลาการลงทุนที่นานกว่า ต้องการความเชี่ยวชาญในการบริหารสินทรัพย์ แต่สามารถให้ Yield ในอัตราที่สูงกว่า เมื่อเทียบกับสินทรัพย์ทั่วไป และส่วนใหญ่มีผลตอบแทนผันผวนน้อยกว่าหุ้น (ยกเว้น Commodities และ Crypto Assets) ดังนั้นเมื่อพอร์ตที่มีการลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้อยู่เดิม และเลือกเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกจะช่วยให้พอร์ตมีผลตอบแทนที่ดีขึ้นและมีความเสี่ยงที่ลดลงได้ ซึ่งปัจจุบันหากศึกษาแนวทางการลงทุนของนักลงทุนสถาบันชั้นนำของโลกจะพบว่า มีการให้น้ำหนักสัดส่วนของสินทรัพย์ทางเลือกในพอร์ตการลงทุนอยู่ที่ประมาณ
20-70% เนื่องจากสถาบันเหล่านี้มีระยะเวลาการลงทุนที่นานกว่าจึงสามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า หรือเรียกว่า Liquidity Premium ซึ่งหากมองการลงทุนของนักลงทุนบุคคล กรุงศรี เอ็กซ์คลีฟ แนะนำการลงทุนให้มีสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก 5-25% แต่การลงทุนในลักษณะนี้ควรให้เวลา 5-7 ปีขึ้นไป ซึ่งสามารถฟังข้อมูลเชิงลึกและโอกาสของสินทรัพย์ทางเลือก Private Equity Private Real Estate และ Crypto Asset เพิ่มเติมจากสัมมนาใน Session 4 หัวข้อ The Alternatives สินทรัพย์ทางเลือก
ลูกค้าและนักลงทุนที่สนใจ สามารถรับชมสัมมนาย้อนหลังทั้งหมดได้ที่ YouTube: Krungsri Simple หรือสามารถติดตามข้อมูลและกิจกรรมที่น่าสนใจผ่านช่องทางไลน์ @krungsriexclusive