เปิดใจ “บุ๋ม บุณย์ญานุช” กับการลาออกครั้งใหญ่จาก “บาร์บีคิว พลาซ่า” เพื่อออกมา “ใช้ชีวิต”

เป็นอีกเรื่องที่ช็อกวงการไม่น้อย สำหรับการลาออกของ “บุณย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์” อดีตนักการตลาดมือทองแห่ง “บาร์บีคิว พลาซ่า” เมื่อวันที่ 1 เมษายน 65 ที่ผ่านมา แนวคิดของการลาออกบุณย์ญานุชในครั้งนี้น่าสนใจไม่น้อย ไม่ได้ลาออกเพื่อต้องการการเติบโต หรือต้องการอัพเงินเดือนขึ้นเยอะๆ แต่ต้องการออกมา “ใช้ชีวิต” อยากทำประโยชน์ให้สังคมในทางทางหนึ่ง

ปิดฉาก 10 ปี “บุ๋ม บาร์บีคิว พลาซ่า”

ที่ผ่านมาเราได้สัมภาษณ์ บุณย์ญานุช หรือพวกเราจะเรียกกันอย่างเป็นกันเองว่า “พี่บุ๋ม” ในฐานะแหล่งข่าวผู้ดูแลแบรนด์ร้านอาหารยักษ์ใหญ่ สวมหัวโขนผู้บริหาร พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการตลาด สร้างแบรนด์ กลยุทธ์อันหนักหน่วง

จากที่เคยได้คุยกับพี่บุ๋มเมื่อหลายปีก่อน ได้เรียนรู้ถึงประสบการณ์ เส้นทางการทำงานของพี่บุ๋มมาโชกโชน ตั้งแต่ทำงานสายเอเยนซี่โฆษณา จนเข้าสู่เส้นทางสายการตลาด และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการพลิกโฉมบาร์บีคิว พลาซ่า ให้กลายเป็นแบรนด์เลิฟของทุกคนจนถึงทุกวันนี้

ผู้เขียนประทับใจกับคติประจำใจ “ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ในพจนานุกรมของบุณย์ญานุช” ที่ผ่านมาพี่บุ๋มได้แสดงให้เห็นถึงบทบาทการสร้างแบรนด์ ปั้นคาแร็กเตอร์บาร์บีก้อนให้กลายเป็นเพื่อนรัก และจัดการกับดราม่าต่างๆ ของแบรนด์ได้ เป็นอีกหนึ่งผู้บริหารที่แสดงให้เห็นถึงความ “บ้าพลัง” แบบสุดๆ

แต่การพูดคุยรอบล่าสุดกับพี่บุ๋มรอบนี้ไม่มีเรื่องกลยุทธ์ใดๆ มีแต่เรื่อง “ความฝัน” ล้วนๆ

ความฝันที่ว่านั้น เป็นจุดที่นำพาบุณย์ญานุช ผู้เคยมีนามสกุลบาร์บีคิว พลาซ่า ให้ก้าวออกจากเซฟโซนครั้งใหญ่ ด้วยการลาออกจากแบรนด์ที่ตัวเองรักมาก ก่อนหน้านี้พี่บุ๋มดำรงตำแหน่ง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แบรนด์บาร์บีคิวพลาซ่า และประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายสร้างโอกาสทางการตลาด กลุ่มธุรกิจอาหาร ฟู้ดแพชชั่น

ตอนนี้ได้เปลี่ยนนามสกุลใหม่เป็น “บุ๋ม บุณย์คนว่างงาน” อย่างเต็มตัว…

“ตอนนี้ทำอาชีพรับจ้าง ลอยไปลอยมาก่อน… จริงๆ คิดเรื่องนี้มานานแล้ว พูดตรงๆ ว่า พื้นฐานเป็นคนขี้เบื่อ แต่คนอาจจะไม่รู้ พี่เข้าบาร์บีคิว พลาซ่าเพราะชอบกิน เรามีความสุขที่ทำมัน ตอนเข้ามาก็บอกกับคุณเป้ (ชาตยา สุพรรณพงศ์) เลยว่า อาจจะอยู่ไม่นาน เพราะเราอยากทำอะไรเอง แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี และพอผ่านๆ มา ก่อนช่วง COVID-19 ก็คิดว่าเริ่มอิ่มตัว พี่อาจจะเป็นคนจัดการกับความรู้สึกตัวเองได้ ถ้าจะอยู่ต้องอยู่ให้มีความสุข ตอนนั้นก็กลับมาคิดว่า ถ้าอยู่จนครบ 10 ปี วันนั้นอาจจะไม่อยู่แล้ว”

พี่บุ๋มได้เลือกวันลาออกในวันที่ 1 เมษายน 2565 เป็นวันครบรอบ 10 ปีที่เข้ามาทำงานที่นี่พอดิบพอดี จากวันที่ 1 เมษายน 2555

พี่บุ๋มเล่าต่อว่า จุดที่พลิกความคิดมากที่สุดก็คือ อยากทำสิ่งใดๆ แล้วมีคุณค่ากับคนอื่น ตอนที่โปรเจกต์ “The Waiters’ Mom พนักงานร้านอาหารก็มีแม่” ตอนนั้นรู้สึกว่าการที่ทำสิ่งนี้ มันอิมแพ็คกับคน ลุกขึ้นมาพูดถึงพนักงานที่ใช้แรงงาน วันนั้นนึกเลยว่าวันนึงอยากทำตัวมีประโยชน์มากกว่าแค่อยู่องค์กรใดๆ ที่หนึ่ง อยากมีค่ามากกว่าอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ตั้งแต่นั้นก็รู้สึก มีความฝันอยากทำอะไรบางอย่างเพื่อสังคม

สำหรับโปรเจกต์ “The Waiters’ Mom พนักงานร้านอาหารก็มีแม่” เป็นคอนเทนต์ออนไลน์ ได้คิกออฟเมื่อเดือนสิงหาคม 2558 เพื่อต้อนรับเทศกาลวันแม่ เป็นโปรเจกต์ที่สร้างขึ้นเพื่อพนักงานโดยเฉพาะ เนื้อหาประมาณว่าให้พนักงานตอบคำถามเกี่ยวแม่ เช่น คุณรู้ไหมแม่ชอบกินอะไร, อะไรทำให้แม่มีความสุข หรืออะไรคือสิ่งที่อยากทำ ถ้าได้กินข้าวกับแม่

จะเป็นที่ทราบกันดีว่าในช่วงวันหยุดเทศกาลต่างๆ จะเป็นเวลาทองของร้านอาหารที่หลายๆ คนจะพาครอบครัวออกมาทานข้าว พนักงานร้านอาหารจึงไม่ได้หยุด วันแม่ก็เช่นกัน พนักงานไม่สามารถหยุดเพื่อพาแม่ไปทานข้าวได้เหมือนคนอื่น…

ทางแบรนด์จึงเซอร์ไพรส์ด้วยการทำโปรเจกต์นี้ พาคุณแม่ของพนักงานมาทานอาหารที่ร้านกับพนักงานแทน เพื่อชดเชยที่ทำให้ไม่สามารถหยุดงาน เพื่อพาไปทานอาหารได้ เรียกว่าเป็นคอนเทนต์ที่กินใจ และสร้างไวรัลในชั่วข้ามคืน

หลังจากที่ลาออกมาเป็น “บุ๋ม บุณย์คนว่างงาน” ในวัย 44 ปี ก็ได้สานต่อความฝันที่อยากทำ เปิดช่องใน YouTube รวมถึงใน TikTok ครีเอตคอนเทนต์ต่างๆ เช่น ทดลองทำ Water Fasting อดอาหาร แล้วดื่มแต่น้ำใน 7 วัน พี่บุ๋มบอกว่าอยากทำมานานแล้ว แต่ก่อนหน้านี้มีติดอะไรเยอะ พอช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ได้คุยกับตัวเอง ได้รีเซ็ตชีวิตใหม่ ได้มายเซ็ตใหม่ๆ เข้าใจความเป็นมนุษย์มากขึ้น

ถ้าถามว่าตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ได้เรียนรู้อะไรจากบาร์บีคิว พลาซ่าบ้าง พี่บุ๋มบอกว่า “เป็นโรงเรียนที่สอนให้รู้จักธุรกิจร้านอาหาร พี่จบศาสตราจารย์ฟู้ดเชนอย่างเต็มภาคภูมิ เข้าใจตั้งแต่หน้าบ้านยันหลังบ้าน รู้จักคุณค่าของความเป็นคน และรู้จักความต่างของคน ทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น เข้าใจหัวอกคน เข้าใจลูกน้อง ลูกค้า ตัวเอง มีชื่อทุกวันนี้ได้ก็เพราะบาร์บีคิว พลาซ่า รักแบรนด์นี้เหมือนญาติ เราได้จบบทบาทอย่างสมศักดิ์ศรี”

เป็นคนขี้เบื่อ อยากออกมาใช้ชีวิต

หลังจากที่ออกมาว่างงานได้ 1 เดือน พี่บุ๋มบอกว่ามีคนเข้ามาจีบ มาชวนไปร่วมงานด้วยเยอะมาก แต่ตอนนี้ไม่อยากทำธุรกิจร้านอาหารแล้ว เพราะส่วนตัวเป็นคนขี้เบื่อ แต่ยังรักในการเป็นนักการตลาดอยู่ จะใช้สกิลตรงนี้ในการทำประโยชน์เพื่อคนอื่นแทน

“การที่ทำธุรกิจร้านอาหารมา 10 ปี ทำให้รู้ว่าเก่งเรื่องอะไร และไม่เก่งเรื่องอะไร คิดว่าบางอย่างไม่เหมาะกับเรา ถ้าตอนนี้จะทำก็เพราะว่าอยากกินเองมากกว่า อย่างเช่นเราชอบกินก๋วยเตี๋ยวเรือ พี่เชื่อว่าคนเรามีความฝัน ไม่สามารถตายไปพร้อมกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ ที่ผ่านมาพี่ต้องยอมทิ้งอะไรหลายอย่าง เพื่อโฟกัสงานบริษัทอย่างเต็มที่ แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่ชีวิตเป็นของเรา ต้องใช้ให้เต็มที่”

นอกจากการสานต่อความฝันในชีวิตของตัวเองแล้ว พี่บุ๋มยังมีความฝันอีกอย่าง ก็คือ อยากมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาของสังคมไทย อยากใช้สกิลการสร้างแบรนด์ การตลาดของตัวเองให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น มี 5 เรื่องหลักๆ ที่สนใจ ได้แก่

  1. ปัญหาของประเทศไทย การศึกษาของเด็กไทย
  2. ระบบสาธารณสุข สุขภาพของคนไทย
  3. ใช้ความรู้เรื่องการทำการตลาด ทำแบรนด์ให้เป็นประโยชน์
  4. มีความรู้ในการทำร้านอาหาร ไม่เก่งในการลงมือทำ แต่สามารถบอกได้ว่าอะไรที่ทำให้ไม่เจ๊ง
  5. อยากให้หลักการใช้ชีวิต ไปอิมแพ็คกับคนอื่น

“อยากมีส่วนร่วมในปัญหาสังคมไทย การศึกษาเด็กไทยควรดีกว่านี้ ระบบสาธารณสุข สุขภาพต่างๆ อยากทำอะไรเรื่องนี้ แต่ยังไม่รู้ไปทางไหน พี่เข้าใจเรื่องการทำการตลาด รู้ว่าจะทำยังไงให้เข้าถึงลูกค้า รู้เรื่องการทำร้านอาหาร อยากทำเรื่องแนวคิด การใช้ชีวิต มันมีประโยชน์ต่อคน อยากจะเล่า จะเขียน พอทำงานฟูลไทม์ไม่มีเวลา คนเรามีหลายบทบาทได้ ไม่จำเป็นต้องเก่งทุกอย่าง ถ้ามีโอกาสก็ควรทำ จะได้รู้สิ่งที่ตัวเองชอบ ตอนช่วง 5-6 ปีหลังที่อยู่บาร์บีคิว พลาซ่า ได้มีโอกาสเจอคนเยอะ ได้โอกาสหลายอย่าง จนคิดว่าไม่อยากทิ้งโอกาสนั้นๆ ช่วงนี้ต้องเต็มที่กับชีวิตตัวเองบ้าง”

ไม่นั่งบริหารบริษัทไหนแล้ว

ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะเป็นช่วงเวลาที่พี่บุ๋มจะอินกับบทบาทบุ๋ม บุณย์คนว่างงานอย่างเต็มสตรีม แต่ก็ต้องมีช่วงเวลาที่กลับไปใช้ชีวิตในการทำงานเหมือนเดิม แต่ก็อาจจะผ่านการตกตะกอนความคิดว่าจะทำอะไรต่อไปดี พี่บุ๋มบอกว่า ณ ตอนนี้ไม่กลับไปนั่งบริหารที่บริษัทไหนอีกแล้ว ส่วนธุรกิจส่วนตัวก็กำลังมองอยู่ว่าเหมาะกับอะไร ถ้ามีโอกาสมาก็ลองทำดู

“ตอนนี้พี่อายุ 44 ปีแล้ว เดินทางมาครึ่งชีวิตแล้ว ช่วงนี้เป็นอีก Chapter หนึ่งของชีวิต ยังมีอีกหลายอย่างที่อยากทำ เดี๋ยวคงคุยต่อไปว่าจะทำอะไร แต่คงไม่ไปนั่งเป็นคณะกรรมการ หรือผู้บริหารที่ไหนอีกแล้ว จบ Chapter นั้นไปแล้ว ได้ตัดสินใจในสิ่งที่อยากทำ ถ้าเดินหน้า และไม่ถอยหลัง ชีวิตมันสั้น กลัวตาย กลัวไม่ได้ทำ แต่ไม่ได้บอกว่าการเป็นพนักงานออฟฟิศมันแย่นะ เพราะพี่ก็เคยเป็น แต่ต้องรู้ว่าตัวเองมีเป้าหมาย มีความฝันอะไร ถ้าอยู่แล้วมีความสุขก็อยู่”

“พี่เป็นคนที่อาจจะไม่รู้ว่าชอบอะไร อาจจะไม่ได้ทำงานที่พี่รัก แต่โคตรรักทุกงานที่ทำ เชื่อว่าทำทุกงานให้ดีได้ เป็นคนทำแบรนด์ได้ เป็นอาวุธสำคัญที่จะไปสวมในที่ใดก็ได้ อาจจะไม่เก่ง แต่เชื่อว่าทำให้ร้านไม่เจ๊งได้”

“ช่วงนี้เป็นช่วงกาง เราเหมือนเป็นอั้ม พัชราภาเคยมีสังกัดมานาน แล้วจะอยู่ช่วงหุบตกตะกอนตัวเอง แล้วกลับมากางใหม่ เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมดี เป็นวัยที่ยังมีพลังงาน ไม่อยากลืมตาว่าเราอายุ 65 แล้วเกษียณ มีงานแล้วคนเอาพวงมาลัยมาไหว้เรา แต่ไม่มีอนุสาวรีย์อะไร” บุ๋ม บุณย์คนว่างงาน กล่าวปิดท้าย

การลาออกของพี่บุ๋มครั้งนี้ก็แสดงให้เห็นอีกครั้งว่า “ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ในพจนานุกรมของบุณย์ญานุช”

อ่านเพิ่มเติม