‘ดุสิตธานี’ เสริมแกร่งธุรกิจอาหาร เดินหน้าขยายพอร์ตลงทุน ดัน ‘ดุสิตฟู้ดส์’ รุกลงทุนโรงงานผลิตเบเกอรี่ เติมเต็มกระบวนผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ หวังต่อยอดรับจ้างผลิต (OEM) พร้อมขยายแฟรนไชส์ขนมอบ ‘บองชู’ สร้างรายได้ต่อเนื่อง

กลุ่มดุสิตธานี เดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอาหาร หลัง “ดุสิตฟู้ดส์” บรรลุข้อตกลงในการเข้าลงทุนซื้อหุ้น 55% ใน “พอร์ต รอยัล” โรงงานผลิตขนมเบเกอรี่สไตล์ฝรั่งเศส และแฟรนไชส์ขนมอบ “บองชู” เผยเป็นการเข้าลงทุนเพื่อเติมเต็มกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ ตอบโจทย์เป้าหมายการลงทุนในเรื่องการควบคุมคุณภาพสินค้า และต้นทุนการผลิตจากโรงงานที่ได้มาตรฐานสำหรับกิจการภายในเครือ รวมทั้งยังช่วยสร้างโอกาสในการต่อยอดสู่การรับจ้างผลิตแบบ B2B สำหรับตลาดภายนอก และเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างรายได้จากการขยายแฟรนไชส์ขนมอบ “บองชู” ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตอกย้ำกลยุทธ์หลักในการกระจายการลงทุน สร้างการเติบโตและสร้างสมดุลของกลุ่มดุสิตฯ

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เปิดเผยว่า กลุ่มดุสิตธานีเดินหน้าขยายความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอาหารอย่างต่อเนื่อง หลังจากบริษัท ดุสิตฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่กลุ่มดุสิตธานีถือหุ้น 99.99% ได้บรรลุข้อตกลงในการเข้าซื้อหุ้น 55% ในบริษัท พอร์ต รอยัล จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเบเกอรี่ขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องจักรอุตสาหกรรมที่ดีและทันสมัยที่สุดที่นำเข้าจากประเทศชั้นนำในยุโรป ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง โดยการลงทุนครั้งนี้จะครอบคลุมแฟรนไชส์ขนมเบเกอรี่ “บองชู” (BONJOUR) ซึ่งปัจจุบันมีสาขาในประเทศไทยกว่า 50 แห่ง รวมถึงในประเทศจีนอีก 1 แห่ง  ซึ่งนอกเหนือจากการเข้าลงทุนในกิจการดังกล่าวแล้ว ดุสิตฟูดส์ ยังจะร่วมมือกับพันธมิตรทั้งคู่  ในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่ภายใต้ชื่อ “บริษัท บองชู เบเกอรี่ เอเชีย จำกัด” เพื่อแสวงหาโอกาสในการเติบโตและขยายกิจการร่วมกัน

“หลังจากที่กลุ่มดุสิตธานีประสบความสำเร็จจากการสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในบริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF จนกระทั่งบริษัทเติบโตและสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และกลุ่มดุสิตธานีจึงได้ตัดสินใจขายเงินลงทุนทั้งหมดและรับรู้ผลกำไรจากการลงทุนเรียบร้อยแล้ว ทำให้ภาพจิ๊กซอว์ของกลุ่มธุรกิจอาหารยังขาดในส่วนของโรงงานผลิต ที่จะเข้ามาช่วยสร้างมาตรฐานสินค้าและควบคุมต้นทุนธุรกิจอาหารให้เรา ดังนั้น เราจึงเห็นโอกาสอันดีในการที่จะเข้าลงทุนในสายการผลิตอีกครั้ง เพื่อเสริมและเติมเต็มธุรกิจอาหารให้กลุ่มดุสิตธานีตั้งแต่กระบวนการผลิตต้นน้ำ ที่จะช่วยต่อยอดจากธุรกิจอาหารที่เรามีอยู่ให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น” นางศุภจีกล่าว

นอกจากจะเป็นโรงงานที่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยแล้ว  จุดเด่นของ “พอร์ต รอยัล” คือทีมงานที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญในการออกแบบกระบวนการผลิตที่ยืดหยุ่นที่สามารถปรับและเพิ่มกำลังการผลิตได้อย่างง่ายดาย พร้อมเครือข่ายโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพที่ครอบคลุมการขนส่งและการกระจายสินค้าแบบครบวงจรอีกด้วย

ดังนั้น การเข้าลงทุนใน “พอร์ต รอยัล” และร้านขนมอบ “บองชู” ครั้งนี้ ถือเป็นการช่วยตอบโจทย์การเติบโตที่สำคัญ 3 ประการให้กับธุรกิจอาหารของกลุ่มดุสิตธานี นั่นคือ การควบคุมมาตรฐานสินค้าและต้นทุนการผลิต  (Standardize products-Optimize cost) เพื่อผลิตสินค้าที่ได้คุณภาพและมาตรฐานของดุสิตธานี และดูแลควบคุมต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ  เพื่อรองรับธุรกิจอาหารภายในกลุ่มดุสิตธานี ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจอาหารอื่นๆ ในเครือ, โอกาสในการเติบโต (Opportunity to Grow) คือการใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญและกระบวนการผลิตที่ทันสมัยในการพัฒนาสูตรและปรับปรุงคุณภาพของวัตถุดิบ เพื่อต่อยอดไปสู่การรับจ้างผลิต  (OEM) ในรูปแบบ B2B (Business to Business) และรับรู้รายได้อย่างสม่ำเสมอ (Recurring Revenue) จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของการขยายแฟรนไชส์ของ “บองชู” ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะช่วยสร้างรายได้และผลตอบแทนที่สม่ำเสมอให้กับธุรกิจอาหาร และยังเป็นการช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์ในการทำการตลาดให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม (B2C)

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนของกลุ่มดุสิตธานี ยังอยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์หลัก 3 ประการที่วางไว้ คือ สร้างสมดุล สร้างการเติบโต และกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ โดยที่ผ่านมาการลงทุนในธุรกิจอาหารของกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในบริษัท เอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง จำกัด ผู้นำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ให้บริการกับโรงเรียนนานาชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การลงทุนในบริษัท เดอะ เคเทอเรอร์ส จอยท์ สต็อก จำกัด  (The Caterers Joint Stock) หรือ “เดอะ เคเทอเรอร์ส” (The Caterers) ซึ่งเป็นผู้นำด้านการจัดเลี้ยงสำหรับโรงเรียน รวมถึงงานเลี้ยงรับรองนอกสถานที่ในประเทศเวียดนาม ตลอดจนการผนึกความร่วมมือกับ KAUAI (คาวาอิ) ซึ่งเป็นแบรนด์ร้านอาหารสุขภาพยอดนิยมจากประเทศแอฟริกาใต้เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย สามารถสร้างการเติบโตให้กับพอร์ตลงทุนของกลุ่มดุสิตธานีได้อย่างน่าพอใจ

“เรายังมองเห็นโอกาสและศักยภาพการเติบโตของธุรกิจอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรากลับมาใช้ชีวิตปกติได้มากขึ้น หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายและกิจกรรมทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ซึ่งการเดินทางของธุรกิจอาหารของกลุ่มดุสิตธานี ยังคงมุ่งมั่นกับการมองหาโอกาสใหม่ๆ ที่จะเติมเต็ม ต่อยอด สร้างผลตอบแทนและสร้างโอกาสเติบโตอย่างแข็งแกร่ง” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี กล่าว