หลังจากที่เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) บริษัทสตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่ ได้ปลดพนักงาน 150 ตำแหน่ง เนื่องจากปัญหาจำนวนผู้ใช้ที่ลดลง ล่าสุด บริษัทได้ประกาศปลดพนักงานอีก 300 ตำแหน่ง หรือประมาณ 4% ของพนักงานทั้งหมดในบริษัท โดยพนักงานส่วนใหญ่ที่ถูกเลย์ออฟอยู่ในสหรัฐฯ
หลังจากที่ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา เน็ตฟลิกซ์ ได้ประกาศถึงผลประกอบการช่วงไตรมาสแรกที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก โดยเฉพาะจำนวนสมาชิกที่ลดลงครั้งแรกในรอบ 10 ปี ส่งผลให้บริษัทต้องเร่งหาทางสร้างการเติบโตให้กลับมา ไม่ว่าจะเป็นแผนการ ลดราคาแพ็กเกจโดยแลกกับการมีโฆษณา รวมถึงการสกัดไม่ให้สมาชิกสามารถ แชร์รหัสผ่าน
นอกจากนี้ บริษัทก็ได้ตัดแผนกอนิเมชั่นทิ้ง รวมถึงเลิกจ้างพนักงานจำนวน 150 ตำแหน่ง และล่าสุดก็ได้เลิกจ้างเพิ่มอีก 300 ตำแหน่งเพื่อลดต้นทุน
“ในขณะที่เรายังคงลงทุนอย่างมีนัยสำคัญในธุรกิจนี้ แต่เราได้ทำการปรับเปลี่ยนเหล่านี้เพื่อให้ต้นทุนของเราลดลงตามการเติบโตของรายได้ที่ช้าลง อย่างไรก็ตาม เรายังมีแผนที่จะจ้างงานเพิ่มในตำแหน่งอื่น ๆ” Netflix กล่าวในแถลงการณ์
ในขณะที่ Netflix มีสมาชิก 220 ล้านรายทั่วโลกและยังคงเป็นผู้นำที่ชัดเจนในตลาดสตรีมมิ่ง แต่ก็ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาด้วยการเปิดตัวแพลตฟอร์มคู่แข่งเช่น Disney+ และ Prime Video ของ Amazon
แต่แม้จะเจอกับการแข่งขันที่สูง แต่เน็ตฟลิกซ์กลับขึ้นราคาค่าสมาชิกหลายครั้งในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และที่อื่น ๆ ซึ่งมีส่วนทำให้จำนวนสมาชิกยกเลิกไป โดยจากสำรวจโดยบริษัทวิจัยของ Kantar ระบุว่า การประหยัดค่าใช้จ่ายเป็นเหตุผลอันดับหนึ่งในการยกเลิกบริการสตรีมมิ่ง
ทั้งนี้ เน็ตฟลิกซ์ได้ออกมาประเมินว่าในช่วงไตรมาส 2 จำนวนสมาชิกจะลดลงอีก 2 ล้านราย หลังจากลดลง 200,000 รายในช่วงไตรมาสแรก
การลดตำแหน่งงานของเน็ตฟลิกซ์เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกาว่า ตลาดแรงงานในประเทศที่กลับมาคึกคักหลังจากผ่านวิกฤต COVID-19 กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว และสัญญาณของการชะลอตัวนั้นชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเทคโนโลยี ซึ่งบริษัทสตาร์ทอัพได้ลดพนักงานเกือบ 27,000 คนตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของจำนวนที่บันทึกไว้ในปี 2564 ตามรายงานของ layoffs.fyi
