สัมมากรรุกธุรกิจเต็มกำลัง ขยายพอร์ตบ้านเดี่ยวหลังดีมานด์เพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง ประกาศปั้น 7 แบรนด์ใหม่พร้อมเตรียมบุกเปิด 9 โครงการ บน 9 ทำเล กระจายทั้งในกรุงเทพฯและตลาดต่างจังหวัดครั้งแรกที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท ควบคู่การจัดทัพองค์กรให้มีรูปแบบการทำงานแบบ Agile และ Scrum เสริมด้วยทักษะใหม่ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพของพนักงานได้ผลงานที่ฉับไว ซึ่งเป็นฟันเฟืองสร้างบริษัทเติบโตอย่างยั่งยืน
นายณพน เจนธรรมนุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) หรือ SAMCO กล่าวว่า สัมมากรได้สร้างสรรค์โครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพมาเป็นระยะเวลากว่า 50 ปี จึงมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการสร้างบ้านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนไทย และเป็นบ้านที่หลับสบายได้อย่างแท้จริง โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าไทยจะเผชิญหน้ากับวิกฤติต่างๆ แต่คนไทยยังตัดสินใจที่จะเลือกซื้อบ้านซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสำคัญของการใช้ชีวิต และบ้านยังเป็นตลาดเรียลดีมานด์เสมอ ดังนั้น สัมมากรจึงเดินหน้าเต็มที่ในการริเริ่มสิ่งใหม่ๆ เพื่อผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้งเน้นการพัฒนาบุคลากรควบคู่กับการพัฒนาโปรดักส์ ในปีนี้มีการโฟกัสตลาดบ้านเดี่ยว โดยจัดพอร์ตธุรกิจเพื่อจัดทำกลุ่มแบรนด์โปรดักส์ (Brand Segmentation) ให้มีความหลากหลายมากขึ้น ด้วยการออก 7 แบรนด์ใหม่ ซึ่งจะทำการทยอยเปิดตัวภายในปี 2565 จำนวน 9 โครงการ บน 9 ทำเลศักยภาพ รวมมูลค่าโครงการกว่า 10,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ สัมมากรได้วาง 4 เซกเมนต์ใหม่ในการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว แบ่งเป็น 1.กลุ่ม Super Luxury เปิดโครงการใหม่มูลค่ารวมทั้งหมด 505 ล้านบาท ได้แก่ แบรนด์ One Gate ตั้งอยู่โซนเอกมัย-รามอินทรา เป็นบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่จำนวน 3 หลัง ราคาเริ่มต้น 95-135 ล้านบาท จุดเด่นอยู่ตรงทำเลที่เดินทางสะดวกและงานออกแบบที่รวมความเป็นธรรมชาติและความเป็นเมืองเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งโครงการมีมูลค่า 335 ล้านบาท และ แบรนด์ Two Ekkamai ตั้งอยู่ในซอยเอกมัย 10 หรือซอยสุขุมวิท 65 เป็นโครงการสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่มีเพียง 2 หลัง ตั้งอยู่บน ไพร์มโลเคชั่นที่หาได้ยากในย่านใจกลางเมือง ราคาอยู่ที่ 85 ล้านบาท โดดเด่นด้วยสไตล์การออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเมืองนิวยอร์ก มีการรังสรรค์พื้นที่การอยู่อาศัยในทุกองค์ประกอบด้วยสัดส่วนที่กลมกลืนและสมบูรณ์แบบ โดยมูลค่าของโครงการอยู่ที่ 170 ล้านบาท
2.กลุ่ม Luxury เปิดโครงการใหม่มูลค่ารวมทั้งหมด 2,210 ล้านบาท ได้แก่ แบรนด์ Park Heritage บ้านแบบวิลล่าหรู 3 ชั้น สไตล์ Modern Classic ราคาเริ่มต้น 49 ล้านบาท จำนวน 35 หลัง โดยมีจุดเด่นที่เรื่อง Privacy ด้วยการจัดผังโครงการเป็น Cluster Zone ที่ไม่สามารถทะลุผ่านกันได้ และออกแบบให้บ้านที่ติดกับถนนหลักนั้นมีการหันหลังบ้านติดกับถนน โดยมีการออกแบบเป็น Double Front เพื่อหลังบ้านที่ติดกับถนนหลักมีความกลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งกับอุโมงค์ต้นไม้ที่ทอดยาวตลอดถนนโครงการ
3.กลุ่ม High-end เปิดโครงการใหม่มูลค่ารวมทั้งหมด 2,900 ล้านบาท ได้แก่ แบรนด์ Barn Yard บ้านที่ออกแบบด้วยแนวคิด Classic American Farmhouse กับโลเคชั่นใกล้อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ที่มาพร้อมการออกแบบจัดวางพื้นที่บ้านแต่ละหลังให้มีระดับที่ลดหลั่นกัน ทำให้ทุกบ้านสามารถเห็นวิวและเปิดรับธรรมชาติได้อย่างอิสระ ราคาเริ่มต้น 15.9 ล้านบาท และมูลค่าโครงการอยู่ที่ 900 ล้านบาท และอีกหนึ่งแบรนด์ (Upcoming Project) จะเป็นบ้านสไตล์โมเดิร์นคลาสสิก ราคาเริ่มต้น 30 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ 29 ไร่ บนถนนกรุงเทพกรีฑา ซึ่งเป็นทำเลที่มีการขยายตัวของกรุงเทพมหานครฝั่งตะวันออกอีกแห่งหนึ่งที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว และแวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีจำนวน 64 ยูนิต รวมมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท
4.กลุ่ม Upscale เปิดโครงการใหม่มูลค่ารวมทั้งหมด 4,440 ล้านบาท ได้แก่ แบรนด์ Anapanaโครงการขนาดใหญ่บนพื้นที่ 41 ไร่ ติดถนนลาดกระบังและอยู่ใกล้กับมอเตอร์เวย์ จึงสามารถเดินทางได้สะดวก โดยบ้านถูกออกแบบในสไตล์ Contemporary Tropical โดดเด่นด้วยอุโมงค์ต้นไม้ของต้นจามจุรีขนาดใหญ่ ที่ทอดยาวตั้งแต่ทางเข้าโครงการถึงซุ้มประตูด้านใน มาพร้อมคลับเฮ้าส์และสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่ยาวถึง 40 เมตร โดยราคาเริ่มต้น ที่ 7 ล้านบาท โครงการมีมูลค่า 1,540 ล้านบาท และ แบรนด์ Mitti ซึ่งมีด้วยกัน 3 โครงการ ใน 3 ทำเล ได้แก่ ชัยพฤกษ์–วงแหวน, ราชพฤกษ์ 346 และรังสิต คลอง 6 ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท แนวคิดของโครงการคือความสุขที่ไม่มีวันหมดอายุกับการออกแบบฟังก์ชันและพื้นที่ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้อาศัยที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดย 3 โครงการมีมูลค่ารวม 2,900 ล้านบาท
ทั้งนี้ สัมมากรได้วางเซกเมนต์ของโปรดักส์ให้ครอบคลุมมากที่สุด พร้อมทั้งขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มระดับลักชัวรี่ขึ้นไป เพราะเป็นกลุ่มที่มีดีมานด์เติบโตต่อเนื่อง โดยทุกโครงการสัมมากรจะเลือกทำเลที่ดีที่สุดของการอยู่อาศัย สามารถเดินทางได้สะดวกในหลากหลายเส้นทาง มีสังคมที่น่าอยู่และปลอดภัยรวมถึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับเรื่องการออกแบบที่ผ่านกระบวนการ Design Thinking ซึ่งเน้นด้านฟังก์ชันด้วยการออกแบบที่สอดรับกับการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยในแต่ละเซกเมนต์และแต่ละกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวใหญ่ ครอบครัวเล็ก หรือครอบครัวที่มีหลายเจเนอเรชั่นอยู่ร่วมกัน โดยมีหลายแบรนด์ เช่น One Gate, Two Ekkamai และ Park Heritage ได้ทำงานร่วมกับสถาปนิกที่มีรางวัลการันตีทั้งในระดับประเทศและระดับโลก เพราะสัมมากรต้องการให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกเหมือนได้เหมือนซื้อผลงานมาสเตอร์พีซ (Master Piece) ของผู้ออกแบบ ซึ่งยังสะท้อนคุณค่าและตัวตนของผู้อยู่อาศัยอีกด้วย
“ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา สัมมากรเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยประมาณปีละ 10% โดยปัจจุบัน (วันที่ 1 มกราคม – วันที่ 30 มิถุนายน 2565) สามารถสร้างยอดขายรวมทั้งสิ้น 1,500 ล้านบาท เติบโต 50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็น 42% จากเป้ายอดขายทั้งปีที่วางไว้ 3,500 ล้านบาท และมาถึงตอนนี้เราสามารถขยายธุรกิจออกไปได้กว้างกว่าเดิม มีการเพิ่มโปรดักส์และเซกเมนต์ที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้ครอบคลุม โดยการเติบโตและความสำเร็จ ที่เกิดขึ้นมาจากการที่เรามีวิธีการทำงานแบบ Agile และเป็นรูปแบบ Scrum Team ทำให้การทำงานมีความคล่องตัวมีกระบวนการทำงานเร็วขึ้น ส่งผลให้เห็นประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงานได้ไวกว่าเดิม รวมถึงเราได้เพิ่มทักษะเรื่อง Design Thinking เพื่อต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ และเสริมกระบวนการคิดในการพัฒนางานด้านต่างๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พนักงานของสัมมากรมีความครบเครื่อง สามารถสร้างสรรค์โปรเจกต์ใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งด้วยทีมงานที่มีศักยภาพสูง บวกกับการขยายพอร์ตโปรดักส์ที่มากขึ้นจะเป็นกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนสัมมากรให้เติบโต ในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน” นายณพน กล่าวสรุป
สำหรับ บมจ.สัมมากร ปัจจุบันมีแบรนด์ใหม่ทั้งหมด 8 แบรนด์ โดยแบ่งตามเซกเมนต์ ดังนี้ 1.กลุ่ม Super Luxury ได้แก่ One Gate, Two Ekkamai 2.กลุ่ม Luxury ได้แก่ PROVIDENCE LANE (เปิดตัวไปเมื่อ Q4/2564), Park Heritage3.กลุ่ม High-end ได้แก่ Barn Yard, Upcoming Project (อยู่ระหว่างดำเนินการ) และ 4.กลุ่ม Upscale ได้แก่Anapana, Mitti
Related