‘เซ็นทรัล รีเทล’ ทะยานสู่เบอร์ 1 ออมนิแชแนลกลุ่มฟู้ด และพร็อพเพอร์ตี้ ในเวียดนาม อัดงบลงทุน 30,000 ล้านบาท สร้างยอดขายพุ่ง 100,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี

มร. โอลิวิเยร์ แลงเล็ต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม กล่าวว่า จากจุดเริ่มต้นเมื่อปี 2555 ที่เซ็นทรัล รีเทล ได้เข้าไปลงทุนในประเทศเวียดนาม เนื่องจากมองเห็นศักยภาพและโอกาสทางธุรกิจของประเทศเวียดนาม ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเซ็นทรัล รีเทล พิสูจน์ได้จากยอดขายในเวียดนามที่เริ่มต้นจากศูนย์ และเติบโตอย่างก้าวกระโดดในทุกปี จนแตะ 38,592 ล้านบาท ภายในเวลาเพียง 10 ปี คิดเป็นสัดส่วนยอดขายของทั้งกลุ่มเซ็นทรัล รีเทล ถึง 22% ในปัจจุบัน

ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจมาตลอด 10 ปี ปัจจุบันเซ็นทรัล รีเทล เป็นเบอร์ 1 ทั้งในด้านไฮเปอร์มาร์เก็ต และผู้นำด้านศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์ในประเทศเวียดนาม ครอบคลุม 40 จังหวัดทั่วประเทศ คิดเป็น 85% ของ GDP เวียดนาม และมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งกว่า 12 ล้านคน พร้อมกันนี้เซ็นทรัล รีเทล ยังได้สร้างแพลตฟอร์มออมนิแชแนลที่ดีที่สุดในประเทศเวียดนาม โดยต่อยอดจากโมเดลที่ประสบความสำเร็จในไทย ทำให้ปัจจุบันยอดขายผ่านแพลตฟอร์มออมนิแชแนลคิดเป็นสัดส่วนกว่า 8% ของยอดขายทั้งกลุ่มเซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม นอกจากนี้ยังได้นำแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทยอย่าง Tops market มาขยายในเวียดนาม เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทุกเซกเมนต์ ถือเป็นการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับธุรกิจกลุ่มฟู้ด และทำให้เซ็นทรัล รีเทล ครองส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มไฮเปอร์มาร์เก็ตของเวียดนามถึง 62% พร้อมทั้งเดินหน้าขยายธุรกิจกลุ่มน็อนฟู้ดและพร็อพเพอร์ตี้ควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่อง จนทำให้วันนี้ เซ็นทรัล รีเทล กลายเป็นผู้นำค้าปลีกต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในประเทศเวียดนาม อย่างเต็มภาคภูมิ

ชู 3 กลยุทธ์หลักของเซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม สู่ 4 เป้าหมายความสำเร็จในอีก 5 ปีข้างหน้า

ภายในปี 2569 เซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม พร้อมทุ่มงบลงทุนกว่า 30,000 ล้านบาท เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความสำเร็จ 4 ข้อ คือ

  1. ก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 แพลตฟอร์มออมนิแชแนลในกลุ่มฟู้ด และพร็อพเพอร์ตี้ ของเวียดนาม
  2. ผลักดันยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 100,000 ล้านบาท
  3. เพิ่มสัดส่วนยอดขายผ่านช่องทางออมนิแชแนลโต 2 เท่า เป็น 15%
  4. ขยายธุรกิจให้ครอบคลุม 55 จังหวัดทั่วประเทศเวียดนามจากทั้งหมด 63 จังหวัด

โดยเซ็นทรัล รีเทล ได้วาง 3 กลยุทธ์สำคัญ ตามกรอบยุทธศาสตร์ CRC Retailligence เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ประกอบด้วย

  1. เดินหน้าปูพรม และขยายธุรกิจหลักครอบคลุมทั่วประเทศ อาทิ การขยายจำนวนร้านค้าในกลุ่มฟู้ด ควบคู่ไปกับการขยายและยกระดับศูนย์การค้า GO! ให้ทันสมัย, เปิดตัวสินค้า Private Label เพื่อตอบโจทย์ความคุ้มค่าคุ้มราคาให้กับผู้บริโภค และพัฒนาโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับกลุ่มธุรกิจพร็อพเพอร์ตี้ เป็นต้น
  2. พัฒนาช่องทางออมนิแชแนล สะท้อนความเป็นผู้นำค้าปลีกแห่งอนาคต เซ็นทรัล รีเทล เดินหน้าพัฒนาแพลตฟอร์มออมนิแชแนลอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับแพลตฟอร์มให้สมบูรณ์แบบ และสามารถมอบประสบการณ์ ช้อปปิ้งที่ดีที่สุด และไร้รอยต่อให้กับลูกค้า พร้อมตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนยอดขายผ่านช่องทางออมนิแชแนลโต 2 เท่า เป็น 15%
  3. ต่อยอดธุรกิจโมเดลใหม่ๆ และไม่หยุดมองหาโอกาสในการเติบโต พัฒนาธุรกิจเพื่อขยายฐานผู้บริโภค และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าชาวเวียดนามในแต่ละพื้นที่ ตลอดจนมุ่งหน้ามองหาโอกาส M&A เพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ และเพิ่มสปีดในการขยายธุรกิจ พร้อมทั้งวางประเทศเวียดนามให้เป็นแหล่งวัตถุดิบและจัดหาสินค้าให้กับธุรกิจในเครือเซ็นทรัล รีเทล ในประเทศไทยอีกด้วย

“ตลอด 10 ปี ของการก่อตั้งอาณาจักรเซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม เราโตอย่างก้าวกระโดด และแข็งแกร่ง อันเป็นผลลัพธ์จากการทำธุรกิจบนวิสัยทัศน์ที่มุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนในทุกประเทศที่เราดำเนินธุรกิจ เช่นเดียวกับประเทศเวียดนามที่เซ็นทรัล รีเทล ได้ร่วมพัฒนาชุมชน สังคม และเศรษฐกิจ ผ่านการจ้างงานชาวเวียดนาม และช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ ขณะเดียวกันเรายังทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ และความร่วมมืออันดีระหว่างประเทศไทย และเวียดนาม รวมถึงเชื่อมการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ ผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ อาทิ การโปรโมตเทศกาล Thai Festival ที่ Tops market ในเวียดนาม, การจัดงาน Taste of Vietnam ในประเทศไทย และการจัดให้มี Business Matching เพื่อช่วยส่งเสริม SME ของทั้งสองประเทศให้ได้มาเจรจาธุรกิจร่วมกัน พร้อมทั้งสนับสนุนการนำเข้า-ส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ เพื่อวางจำหน่ายในเครือข่ายธุรกิจของทั้งสองประเทศอีกด้วย ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบนเจตนารมณ์ของเซ็นทรัล รีเทล ที่มุ่งทำธุรกิจบนพื้นฐานของความยั่งยืนในทุกด้าน อันจะเป็นหัวใจสำคัญที่ติดตามไปในทุกพื้นที่ที่ธุรกิจของเราเติบโต” มร.โอลิวิเยร์ กล่าวปิดท้าย