บาจา (Bata) พร้อมรุกตลาดรองเท้า หลังสถานการณ์โควิด-19ในไทยส่อทิศทางเชิงบวก ย้ำภาพความเป็นแบรนด์รองเท้าสวมใส่สบายแต่มีสไตล์ ในราคาที่จับต้องได้ตามแนวทางของแบรนด์ในระดับสากลที่ก่อตั้งมานานกว่า
128 ปี ยึดมั่นแนวคิด Survival of the Fittest รุกแพลตฟอร์ม Omni Channel เชื่อมโยงประสบการณ์ผสานออนไลน์&ออฟไลน์มัดใจลูกค้าฐานเดิม พร้อมขยายฐานใหม่ มุ่งสู่ความเป็นรองเท้าที่ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ทุกเพศทุกวัยพร้อมดัน“วิลาสินี ภาณุรัตน์” นั่งแท่นผู้บริหารหญิงคนแรกของ บาจา ประเทศไทย
ท่ามกลางความท้าทายที่คาดไม่ถึง ทั้งการเผชิญหน้ากับสถานการณ์โควิด-19 และโจทย์ของแบรนด์บาจาที่ผูกพันกับผู้บริโภคมานาน แต่ต้องการก้าวข้ามภาพจำเดิม มาสู่แบรนด์รองเท้าคุณภาพที่มีสไตล์ สวมใส่ได้ทุกวันวิลาสินี ภาณุรัตน์กรรมการผู้จัดการบริษัท บาจา (ประเทศไทย) จำกัดจึงเป็นผู้หญิงคนแรกที่มารับหน้าที่เป็นหนึ่งในคีย์โกรทไดร์ฟเวอร์ (Key Growth Driver) ของบาจาประเทศไทย โดยเผยถึงทิศทางต่อไปของบาจาประเทศไทย หลังผ่านวิกฤติโควิด-19 ว่า “บาจาเป็นแบรนด์รองเท้าที่อยู่คู่คนไทยมา 90 กว่าปีแล้ว เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จัก แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไป เช่นเดียวกับพฤติกรรมการสวมใส่รองเท้าที่ไม่เหมือนเดิม บาจาจึงต้องการสร้างภาพจำใหม่ให้ชัดเจนมากขึ้น นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของแคมเปญ Surprisingly Bata ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2564 แต่บาจาจะมาสานต่อแคมเปญนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นในช่วงปลายปี 2565นี้ ด้วยวิสัยทัศน์ของบาจาประเทศไทย คือ การนำแบรนด์ดีเอ็นเอที่มีความสบายอย่างมีสไตล์ Comfort with Style มาถ่ายทอดสื่อสารแบบใหม่ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มเติมจากฐานลูกค้าเก่าที่มีอยู่กว่า 2 ล้านคนในประเทศไทยให้มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคุณแม่และกลุ่มคนเจน X-Y ซึ่งเป็นแฟนของแบรนด์อย่างเหนียวแน่นแต่ความตั้งใจของบาจา เราต้องการขยายฐานเข้าไปสู่คนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้นึกถึงหรือยังไม่ได้เลือกสวมใส่บาจามาก่อน ซึ่งบาจามีสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี เพียงแต่แบรนด์ยังต้องสื่อสารเชิงลึกไปให้ถึงกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ให้มากขึ้น”
“ต้องยอมรับว่านับตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งเป็นปีแรกของวิกฤตโควิด-19 ในไทย แม้ว่าบาจาจะสามารถสร้างยอดขายได้หลักพันล้านบาท แต่ก็เป็นรายได้ที่ลดลงกว่า 38% เนื่องจากบาจาได้รับผลกระทบจากการล็อคดาวน์โดยตรงแต่ในปีนี้ 2565 สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ทำให้นับตั้งแต่ช่วงเมษายน2565 เป็นต้นมาทุกอย่างกำลังเข้าสู่ภาวะปกติ ผู้บริโภคและลูกค้ากลับมาจับจ่ายภายในช็อปบาจาได้ตามปกติทำให้ยอดขายของบาจากลับมาเติบโตถึงกว่า 70% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว รวมถึงช่องทาง Online Sales ของบาจาที่มีการบุกตลาดอย่างจริงจังส่งผลให้ยอดขายมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง”
“ปัจจุบันตลาดและผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนโดยเฉพาะช่วง 2-3 ปีนี้ นั่นทำให้เรามองว่าทิศทางทางการตลาดและการทำงานต่อไปของแบรนด์นั้นผู้อยู่รอดคือผู้ที่ปรับตัวได้เร็วที่สุด (Survival of the Fittest) เตรียมพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงแบบทันท่วงที ต้องบริหารจัดการให้พร้อมที่จะเรียนรู้ใหม่เสมอ”ผู้บริหารหญิงแกร่งอย่าง วิลาสินี กล่าวเสริม
จากทิศทางการตลาดที่มีแนวโน้มดีขึ้น ทำให้บาจามีความมั่นใจในการนำสินค้าใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดได้อย่างเต็มที่ โดยบาจาในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 เตรียมปล่อยคอลเล็กชั่นใหม่ออกมาอีกหลายไลน์สินค้าในทุกหมวด พร้อมกับการรุกตลาดที่มีความเข้มข้นและหลากหลายมากขึ้นทั้ง CRM Loyalty Campaign และ Omni Channel Strategy ผสมผสานช่องทางการขายเข้าด้วยกันเพื่อมอบประสบการณ์การซื้อให้กับลูกค้าอย่างดีที่สุด
“เรามีการใช้ดาต้าลูกค้าที่มีอยู่มาทำ CRM Loyalty Campaign ให้มากขึ้นเพื่อรักษาฐานลูกค้าประจำ ขณะเดียวกันก็จริงจังในการสื่อสารกับลูกค้ากลุ่มใหม่ผ่านทางช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ ตามกลุ่มเป้าหมายเพื่อเชื่อมประสบการณ์ของลูกค้าทั้งเก่าและใหม่แบบไร้รอยต่อ ผ่าน Omni Channel Strategy ของเราด้วยระบบ Automation Tools ต่างๆ ซึ่งกลยุทธ์นี้จะเร่งทำให้เกิดขึ้นอย่างชัดเจน”
ปัจจุบันบาจามีช่องทางการจัดจำหน่ายทางหน้าร้านของตัวเอง 229 ร้าน ร้านแฟรนไชส์ 6 ร้าน ผ่านทางช่องทางออนไลน์จาก bata.co.th รวมถึงช่องทางอี-มาร์เก็ตเพลส ซึ่งบาจามี Official Stores ทั้งบน Lazada และ Shopee ทำให้คาดว่าสิ้นปีนี้บาจาจะเติบโตเกิน 65% เทียบจากปีที่แล้วพร้อมตั้งเป้าเติบโตอย่างต่อเนื่องจากทั้งลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ จากแคมเปญล่าสุด และการบุกช่องทางขายครบวงจรในปีหน้าอีกแน่นอน
ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามสินค้าได้ที่ร้านบาจา หรือทางเว็บไซต์ https://www.bata.co.th/และห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ