ไอ-เทล พร้อมต่อยอดศักยภาพ 1 ใน 10 ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงรายใหญ่ของโลก ชูจุดเด่นนวัตกรรมสินค้าระดับพรีเมี่ยมกว่า 4,600 รายการ และฐานลูกค้าแบรนด์ใหญ่ระดับโลก

บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC ย้ำความเป็นผู้นำระดับโลกด้านผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง  โดยเป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงอันดับ 2 ในเอเชีย และอยู่ใน 10 อันดับแรกของโลก* ที่มองความต้องการของสัตว์เลี้ยงเป็นหัวใจสำคัญ ผ่านการดำเนินธุรกิจครอบคลุมทั้งบริการรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) เกี่ยวกับอาหารสัตว์เลี้ยงอย่างครบวงจร โดย ณ วันที่ 31 มี.ค. 2565 บริษัทฯ มีรายการผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายรวมกว่า  4,600 ชนิดให้กับแบรนด์ชั้นนำระดับโลก และการผลิตแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้ตราสินค้าของตนเอง พร้อมเดินหน้าเต็มที่หลังปรับโครงสร้างสู่การเป็นแฟล็กชิพของไทยยูเนี่ยนด้านผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงระดับโลก โดยมีผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการซึ่งเป็นผลลัพธ์จากความมุ่งมั่นของทีมวิจัยและพัฒนาตลอดจนระบบนิเวศเชิงนวัตกรรมที่มีความแข็งแกร่ง ด้วยศักยภาพกำลังการผลิตรวม 172,786 ตัน/ปี ทำให้บริษัทเติบโตรุดหน้าด้วยยอดขายที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีกว่า 15% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สู่ยอดขายรวม 14,529 ล้านบาทในปี 2564 

นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ธุรกิจไอ-เทล เกิดจากแนวคิดที่ไทยยูเนี่ยน ซึ่งเป็นบริษัทค้าอาหารทะเลรายใหญ่อันดับต้นๆ ของโลกและเป็นผู้แปรรูปปลาทูน่ารายใหญ่ เล็งเห็นโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับชิ้นส่วนของปลาที่ไม่สามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ของไทยยูเนี่ยนได้ โดยนำไปแปรรูปเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการสูงรวมทั้งรสชาติอร่อย จนได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากกลุ่มลูกค้าเจ้าของแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำและเจ้าของสัตว์เลี้ยงทั่วโลก  

วันนี้ ไอ-เทล พร้อมตอบรับการเติบโตของเมกะเทรนด์ Humanization ของครอบครัวที่ดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกคนสำคัญด้วยอาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพระดับพรีเมี่ยม ผ่านวิสัยทัศน์ในการสร้างโลกแห่งความสุขให้สัตว์เลี้ยงได้เจริญเติบโตด้วยสุขภาพที่สมบูรณ์ที่สุด ภายใต้พันธกิจของการส่งมอบคุณค่าทางโภชนาการเพื่อสัตว์เลี้ยงด้วยนวัตกรรมที่ก้าวล้ำกว่าผลิตภัณฑ์อาหารทั่วไป เพื่อต่อยอดจุดยืนในฐานะผู้นำระดับโลกด้านผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง คำนึงถึงความต้องการของสัตว์เลี้ยงเป็นหัวใจสำคัญ ด้วยหลักวิทยาสตร์และนวัตกรรมที่ก้าวล้ำ เพื่อสุขภาพที่ดีของสัตว์เลี้ยง ครอบครัว และโลกของเรา โดย ไอ-เทล มีโมเดลธุรกิจที่โดดเด่นและครอบคลุมทั้งบริการรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) เกี่ยวกับอาหารสัตว์เลี้ยงอย่างครบวงจรให้กับแบรนด์ชั้นนำระดับโลก และการผลิตแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้ตราสินค้าของ ไอ-เทล เอง มีทั้งอาหารแมว อาหารสุนัข และขนมทานเล่น ซึ่งปัจจุบัน สินค้าที่ผลิตโดย ไอ-เทล ได้รับการจัดจำหน่ายในกว่า 45 ประเทศ
ทั่วโลก”

นายพรชัย ตติยชัยทวีสุข รักษาการประธานเจ้าหน้าที่ด้านการพาณิชย์ บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า “ไอ-เทล มุ่งเน้นการพัฒนาอาหารสัตว์เลี้ยงร่วมกับพันธมิตรและลูกค้าเพื่อตอบโจทย์ความต้องการใหม่ ๆ ของเจ้าของและสัตว์เลี้ยงในทุกแง่มุม ด้วยจุดเด่นของแพลตฟอร์มรับผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง ที่มีบริการครบวงจรตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะตัว (personalized solution) จนถึงการผลิตในทุกขั้นตอน โดย ไอ-เทล มีระบบนิเวศเชิงนวัตกรรม (innovation ecosystem) ที่รอบด้าน เช่น Global PetCare Innovation Center ที่มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มและส่วนผสมใหม่ โดยเน้นเรื่องความยั่งยืน ศูนย์ Global Innovation Center ของไทยยูเนี่ยน และยังมีโรงงานต้นแบบสำหรับผลิตภัณฑ์สินค้าทดลองให้ลูกค้าก่อนพัฒนาสู่ตลาดจริง รวมทั้งศูนย์ iTail Cattery เพื่อศึกษาอาหารสำหรับแมวโดยเฉพาะ**

นอกจากนี้เรายังเป็นพันธมิตรกับสถาบันการศึกษาอีกหลายแห่ง ทำให้ไอ-เทล มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายรวมกว่า 4,600 ผลิตภัณฑ์ โดยบริษัทฯ มีความชำนาญและความสามารถในการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกที่ผลิตจากเนื้อปลา ซึ่งมีกระบวนการในการผลิตที่ยากโดยเฉพาะในการที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกมีรูปร่างหน้าตา (Appearanceที่ดีและน่ารับประทาน โดยเน้นการให้คุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วน และ น่ารับประทานเหมือนอาหารสำหรับมนุษย์ทั่วไปมากยิ่งขึ้น ทั้งรูปแบบของน้ำเกรวี่ น้ำซุป เยลลี่ และ “ร็อคสตาร์” หรือโปรตีนที่มีลักษณะและเนื้อสัมผัสเหมือนเนื้อสัตว์ และได้พัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ ไอ-เทล ได้รับความไว้วางใจอันยาวนาน จากบริษัทผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงรายใหญ่ของโลกทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย”

นายนคร นิรุตตินานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านปฎิบัติการ บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ไอ-เทล ดำเนินการผลิตสินค้าที่โรงงาน แห่งในจังหวัดสมุทรสาครและสงขลา ที่มีกำลังการผลิตรวม 172,786 ตัน/ปี พร้อมด้วยคลังสินค้าทันสมัยที่มีพื้นที่จัดเก็บรวม 68,770 พาเลท โดยนำระบบการผลิตแบบอัตโนมัติมาใช้ในหลายขั้นตอน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการและควบคุมต้นทุน  กระบวนการผลิตของไอ-เทล โดยโรงงานทั้งสองแห่งได้รับการรับรองมาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัยจากทั้งหน่วยงานระดับชาติและระดับสากล ไม่ว่าจะเป็น GMP HACCP และ BRC Global Standard for Safety นอกจากนี้ ไอ-เทล ยังมุ่งเน้นการเลือกแหล่งวัตถุดิบที่น่าเชื่อถือ โดยปลาทูน่าซึ่งเป็นวัตถุดิบหลัคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 43-49 % ของมูลค่าการสั่งซื้อวัตถุดิบรวม บริษัทได้รับประโยชน์จากการอยู่ในกลุ่มไทยยูเนี่ยนซึ่งเป็นผู้ผลิตปลาทูน่ารายใหญ่ของโลก สำหรับไก่ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบสำคัญ ก็ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเนื้อไก่รายใหญ่ของโลก จึงมั่นใจได้ว่า ไอ-เทล จะมีวัตถุดิบป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตอย่างสม่ำเสมอ

ในส่วนของผลประกอบการ บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มียอดขายที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทุกปี โดยในปี 2562 บริษัทมียอดขาย 10,955 ล้านบาท ในปี 2563 มียอดขาย 12,224 ล้านบาท และในปี  2564 มียอดขาย 14,529 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 15% ในขณะที่ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลกมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ในระหว่างปี 25592564 อยู่ที่ประมาณ 5.5-5.8%* สัดส่วนรายได้จากการขายของ ไอ-เทล ในปี 2564 แบ่งเป็นสัดส่วนจากอเมริกา 44.9% ยุโรป 19.4% ญี่ปุ่น 14.5%  และจีน 3.2

โดยตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโลกในปี 2564 มียอดขายปลีกประมาณ 131,000 ถึง 135,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องโดยคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) ที่ 7.1% ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับแมวและสุนัขในประเทศจีน ที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR)  ที่ 19.8% ในปี 2564-2569 ซึ่งเป็นตลาดที่ ไอ-เทล เล็งเห็นช่องว่างในการเติบโตได้มากขึ้น พิจารณาจากรายได้รวมของ ไอ-เทล ที่ได้จากจีนอยู่เพียง 3% ในปัจจุบัน นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์หลักของ ไอ-เทล ยังสอดคล้องกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีโอกาสเติบโตสูงในช่วง 5 ปีข้างหน้า (2564-2569) ทั้งอาหารแมวที่คาดการณ์อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 8.2% และอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกสำหรับแมวและสุนัขที่คาดกาณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 10.7%* 

ไอ-เทล มุ่งมั่นที่จะสร้างความยั่งยืนและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับทั้งสัตว์เลี้ยง ครอบครัว และโลกใบนี้ของพวกเราทุกคนเช่นกัน ผ่านการขับเคลื่อนโครงการ ที่ส่งเสริมสิ่งแวดล้อม สังคม และการบริหารบนหลักธรรมาภิบาล นอกจากนี้เรายังยึดมั่นในกลยุทธ์ SeaChange® ซึ่งเป็นกลยุทธ์ของเครือไทยยูเนี่ยนที่มีเป้าหมายในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับท้องทะเล โดยใช้แหล่งวัตถุดิบที่เชื่อถือและติดตามแหล่งที่มาย้อนหลังได้  เรายังร่วมผลักดันการลดผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ ผ่านโครงการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงมากกว่า 10,000 ตัน/ปี รวมถึงลดการใช้พลาสติก เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร และคำนึงถึงหลักการใช้แรงงานอย่างมีจริยธรรมตามหลักปฏิบัติขององค์กรสหประชาชาติ” นายพิชิตชัย  กล่าวปิดท้าย 

ทั้งนี้ บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรกและแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ไปเมื่อวันที่ กรกฎาคม 2565 โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับแผนการเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก หรือ IPO จำนวนไม่เกิน  660 ล้านหุ้น ประกอบด้วย หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 600 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยไทยยูเนี่ยนจำนวนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น เพื่อลงทุนในการปรับปรุงโรงงานทั้งสองแห่งให้ทันสมัยด้วยระบบและเครื่องจักรอัตโนมัติเพื่อขยายกำลังการผลิตและประสิทธิภาพการผลิต  ขยายระบบโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนการผลิต ลงทุนในระบบคลังสินค้าและติดฉลากอัตโนมัติ รวมถึงต่อยอดศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์  ขยายธุรกิจ ชำระคืนเงินกู้ยืม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนให้กับบริษัทฯ  

*ที่มา: Frost & Sullivan

หมายเหตุ: 

  • เอกสารเผยแพร่นี้มิได้เป็นการเสนอขายหลักทรัพย์ในประเทศสหรัฐอเมริกาหรือประเทศอื่น ๆ หลักทรัพย์ที่กล่าวถึงในเอกสารนี้ไม่ได้จดทะเบียนตามกฏหมายหลักทรัพย์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ค.ศ. 1933 (U.S. Securities Act of 1933) รวมทั้งฉบับที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม และไม่อาจเสนอขายหรือขายในประเทศสหรัฐอเมริกา เว้นเเต่จะได้จดทะเบียนตามกฎหมายหลักทรัพย์ประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว หรือการเสนอขายหรือการขายหลักทรัพย์ดังกล่าวได้รับยกเว้นการจดทะเบียนตามกฎหมายหลักทรัพย์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้จะไม่มีการเสนอขายหลักทรัพย์ที่กล่าวถึงในเอกสารนี้ต่อประชาชนเป็นการทั่วไปในประเทศสหรฐัอเมริกา เอกสารฉบับนี้จะไม่ถูกเผยแพร่และไม่ควรเผยแพร่หรือส่งไปยังประเทศสหรฐัอเมริกา แคนาดา ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย
  • เว้นแต่ที่ได้ระบุไว้เป็นอย่างอื่น ข้อมูลทางการเงินรวม ณ วันที่ และสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2562 2563 และ 2564 และงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 และ 2565 ในส่วนนี้ถูกจัดทำขึ้นโดยอ้างอิง มาจากข้อมูลทางการเงินรวมเสมือน