Pomelo เผยการเติบโตในครึ่งแรกของปี 2565 มุ่งเป้าเพิ่มยอดขายหน้าร้านสองเท่า เพิ่มความหลากหลายของของสินค้า และสนับสนุนแฟชั่นแบบยั่งยืน

  • รายได้สุทธิรวมเติบโตขึ้น 93% ในขณะที่รายได้สุทธิจากหน้าร้านเติบโตขึ้น 134% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564
  • ยอดสั่งสินค้าผ่านTry.Buy at Home เพิ่มสูงขึ้น 347% นับตั้งแต่การเปิดตัวในเดือนกรกฎาคมปี 2564
  • ก้าวสู่การเป็นผู้นำแพลตฟอร์มครบวงจรด้านแฟชันและความงามในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กับ 370 แบรนด์ใหม่บนแพลตฟอร์ม รวมกว่า 700 แบรนด์ในปัจจุบัน
  • ตั้งเพิ่มจำนวนสินค้าที่ทำจากวัสดุรักษ์โลกเป็น 40% ของแบรนด์ภายในปี 2565

Pomelo ผู้นำแพลตฟอร์มแฟชั่นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รายงานรายได้สุทธิเติบโตถึงกว่า 93% ในครี่งแรกของปี 2565 เทียบกับปีที่ผ่านมา ความสำเร็จนี้มาจากการยอดผู้ใช้บริการTap.Try.Buy. at Home ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับรายได้จากยอดขายหน้าร้านที่เพิ่มขึ้นในช่วงผ่อนผันมาตรการโควิด โดย Pomelo วางเป้าต่อยอดความสำเร็จ โดยมุ่งขยายการเติบโตของธุรกิจในหลายส่วน ทั้งการขยายสาขาหน้าร้าน การนำเสนอประเภทสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น รวมถึงมุ่งมั่นผลักดันแฟชั่นแบบยั่งยืน

Pomelo ปิดครึ่งแรกของปี 2565 อย่างงดงามด้วยปรากฏการณ์ความสำเร็จของการขายทั้งผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ โดยมีรายได้สุทธิเติบโตถึงกว่า 93% และรายได้จากหน้าร้านยังทยานสูงขึ้นถึง 134% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2564 มากไปกว่านั้น รายได้จากหน้าร้านในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมายังนับเป็นรายได้ที่สูงเป็นประวัติการณ์ของบริษัท Pomelo หลังก้าวข้ามวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ด้วยกลยุทธ์ที่โดดเด่นอย่าง Tap.Try.Buy. at Home บริการลองสินค้าที่บ้านก่อนซื้อโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายโดยมียอดการสั่งซื้อเพิ่มถึง 347% ในระยะเวลาน้อยกว่า 1 ปีนับตั้งแต่เปิดตัวบริการดังกล่าว

เดวิด โจว ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Pomelo Fashion กล่าวว่า “เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ประกาศความสำเร็จในครึ่งปีที่ผ่านมาในขณะที่ทั่วภูมิภาคกำลังค่อย ๆ กลับสู่การเปิดประเทศภายหลังโควิด-19  ทั้งแบรนด์ Pomelo และแบรนด์อื่น ๆ บนแพลตฟอร์มของเรากำลังมุ่งหน้าสู่ยอดขายที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2565 อีกทั้งบริการTap.Try.Buy. at Home และ ความคิดริเริ่มด้านความยั่งยืน Down to Earth ของเราถือเป็นประเด็นที่เรามุ่งให้ความสำคัญในอนาคตอันใกล้นี้”

Pomelo ได้นำแบรนด์ชั้นนำมากกว่า 370 แบรนด์มาสู่แพลตฟอร์มในระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา โดยปัจจุบัน มีแบรนด์เข้าร่วมในแพลตฟอร์มมากกว่า 700 แบรนด์ ทั้งแบรนด์ไทยและแบรนด์ต่างประเทศ โดยการเติบโตนี้นับเป็น 174% ของจำนวนแบรนด์ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีก่อน เพื่อไปสู่เป้าหมายในการเป็นแพลตฟอร์มที่ตอบสนองความต้องการด้านแฟชั่นและความงามของลูกค้า โดยแบรนด์พาร์ทเนอร์หน้าใหม่จากประเทศไทย ได้แก่ Merge, Two Twice และ Hamburger Studio และแบรนด์พาร์ทเนอร์ใหม่จากต่างประเทศ ได้แก่ Foreo, Maybelline, L’Oreal, Garnier, MLB และ Never Fully Dressed เป็นต้น

ในครึ่งแรกของปี 2565 Pomelo ปล่อยหลากหลายแคมเปญซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีอย่างมาก เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายสูงสุดในการยกระดับแพลตฟอร์มแฟชั่นให้ดียิ่งขึ้น โดย Pomelo ได้ส่งต่อพลังความมั่นใจให้กับสาว ๆ #PomeloGirls ในวันสตรีสากลผ่านคอลเลคชั่น Spring/Summer 2022 ร่วมกับต้าเหนิง กัญญวีร์ สองเมืองนักแสดงและนางแบบชื่อดัง และแอนชิลี สก็อต-เคมมิสมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2564 สองผู้หญิงแห่งยุค ตัวแทนของผู้หญิงที่พร้อมเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นและไม่เกรงกลัวที่จะเผยความเป็นตัวเอง อีกแคมเปญหลักของครึ่งปีที่ผ่านมา ได้แก่แคมเปญเฉลิมฉลองตรุษจีน  ซึ่งได้ร่วมมือกับแบรนด์แฟชั่น แบรนด์ไลฟ์สไตล์ และบิวตี้แบรนด์หลายร้อยแบรนด์จากทั่วโลก นอกจากนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ Pomelo ยังได้ส่งแคมเปญที่เผยภาพลักษณ์ความสนุกสนานอย่าง Pomelo Fashion Week ซึ่งนำเสนอเทรนด์แฟชั่นและการสร้างสรรค์ของแบรนด์ต่าง ๆ ที่น่าสนใจ และล่าสุด Pomelo ได้เปิดตัวแคมเปญแบรนด์ชั้นนำแห่งปี Pomelo Awards ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อสนับสนุนแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว และเฉลิมฉลองการร่วมมือกับแบรนด์พาร์ทเนอร์ทั้งไทยและต่างประเทศ

ในช่วงครึ่งปีหลัง Pomelo มีเป้าหมายจะขยายการเติบโตของธุรกิจในหลายส่วน ตั้งแต่การขยายการเติบโตของธุรกิจค้าปลีก โดยเปิดสาขาหน้าร้านเพิ่มที่เดอะมอลล์โคราช และเซ็นทรัล โคราช เพื่อขยายฐานลูกค้าไปสู่สาว ๆ #PomeloGirls ในพื้นที่นอกกรุงเทพมหานคร และ Pomelo ยังมีแผนจะขยายบริการ Tap.Try.Buy. at Home ไปสู่ผู้ใช้ระบบ Android และกลุ่มลูกค้าที่ประเทศสิงคโปร์เร็ว ๆ นี้

อีกหนึ่งเป้าหมายที่ Pomelo ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง คือ การสร้างนิยามใหม่ให้กับแฟชั่นแบบยั่งยืน ในฐานะผู้ริเริ่มโครงการ Down to Earth โดย Pomelo ตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนสินค้าที่ทำจากวัสดุรักษ์โลก ผ่านกระบวนการเป็นมิตรต่อโลก และมีกระบวนการผลิตที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย ให้เป็นสัดส่วน 40% ของสินค้าทั้งหมดในอนาคตอันใกล้

ทั้งนี้ Pomelo ยังได้วางกลยุทธ์การบริหารจัดการสินค้าเพื่อขยายหมวดหมู่ของสินค้าโดยวางแผนเพิ่มดีลพิเศษของแบรนด์สินค้าจากประเทศไทยและทั่วโลก นอกจากนี้ มีแผนจัดอีเวนต์การช้อปปิ้งต่าง ๆ ซึ่งยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ตัวอย่างเช่น โปรโมชั่นลดราคาประจำเดือน การเพิ่มตัวเลือกสินค้าคุณภาพสูง และการพัฒนาบริการช้อปปิ้งแบบ Omnichannel ให้มีการใช้งานที่สะดวกสบายมากขึ้น