STA ทำรายได้ Q2/65 ที่ 27,973 ล้านบาท ใกล้เคียงไตรมาสก่อนหน้า รับธุรกิจยางธรรมชาติเติบโต

บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (“STA” หรือ “บริษัทฯ”) ทำรายได้จากขายและบริการไตรมาส 2/2565 ที่ 27,973  ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 0.1% โดยธุรกิจยางธรรมชาติยังคงมีรายได้และปริมาณการขายเพิ่มขึ้น รวมถึงรักษาอัตราเดินเครื่องจักรเฉลี่ย 70 – 80% ส่งผลดีต่อต้นทุนการผลิตต่อหน่วยอยู่ในระดับต่ำ พร้อมอยู่ระหว่างขยายกำลังผลิตน้ำยางข้นที่โรงงาน 2 แห่ง จะแล้วเสร็จครึ่งปีหลัง ชี้แนวโน้มดีมานด์ยางธรรมชาติยังต้องติดตามผลลัพธ์หลังจีนผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และสถานการณ์การขาดแคลนชิปในอุตสาหกรรมยานยนต์

นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่และกรรมการบริหาร บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน)  ผู้นำในธุรกิจยางธรรมชาติครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของโลกและผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2565 มีรายได้จากการขายและบริการ 27,973 ล้านบาท ลดลง 0.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ที่มีรายได้จากการขายและบริการ 28,000 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,142 ล้านบาท ลดลง 24.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ที่มีกำไรสุทธิ 1,509 ล้านบาท โดยธุรกิจยางธรรมชาติยังคงมีรายได้และปริมาณการขายสินค้าเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามรายได้จากการขายและบริการรวมถึงกำไรสุทธิดังกล่าว ชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากธุรกิจถุงมือยางที่ดำเนินงานภายใต้ บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ มีรายได้ลดลงจากการอ่อนตัวของราคาขายตามการคลายความกังวลต่อสถานการณ์โรค COVID-19

ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกปี 2565 มีรายได้จากการขายและบริการรวม 55,973 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 2,651 ล้านบาท ชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตามสำหรับธุรกิจยางธรรมชาติมีรายได้และปริมาณการขายสินค้าเพิ่มขึ้น เนื่องจากการขยายตลาดและเพิ่มกำลังการผลิตยางธรรมชาติในโรงงาน 4 แห่ง แล้วเสร็จในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ส่งผลให้มีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นอีก 280,320 ตันต่อปี ประกอบด้วย การขยายกำลังการผลิตยางแท่งที่โรงงานพิษณุโลกและโรงงานสกลนครรวม 140,160 ตันต่อปี การขยายกำลังการผลิตยางแท่งที่โรงงานบึงกาฬ และโรงงานน้ำยางข้นอีกรวม 140,160 ตันต่อปี เพื่อให้เพียงพอต่อการรองรับดีมานด์ที่เปลี่ยนมาจากอินโดนีเซีย ที่ประสบปัญหาซัพพลายที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจากโรคใบร่วงในต้นยาง

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ มีอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 1.00 บาท เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 23 สิงหาคมนี้ และกำหนดจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 8 กันยายน 2565

“โดยภาพรวมครึ่งปีแรกของปีนี้ บริษัทฯ สามารถรักษาอัตราการเดินเครื่องจักรได้ดี เฉลี่ยอยู่ในระดับ 70 – 80%  ของกำลังการผลิตรวม ส่งผลดีต่อต้นทุนการผลิตสินค้าที่อยู่ในระดับต่ำและสามารถใช้งานเครื่องจักรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนธุรกิจถุงมือยางที่ดำเนินการภายใต้บริษัทในเครือ ได้พัฒนาสินค้าใหม่ที่เป็นนวัตกรรมเพื่อสร้างความแตกต่างและตอบสนองเทรนด์ด้านสิ่งแวดล้อม โดยเน้นไปที่ถุงมือยางธรรมชาติที่ย่อยสลายได้ง่ายกว่ายางสังเคราะห์ โดยผลิตภัณฑ์ใหม่เริ่มวางจำหน่ายแล้วในปีนี้ ได้แก่ ถุงมือยางธรรมชาติชนิด Non Detectable Protein ที่มีคุณสมบัติลดการเกิดโปรตีนที่ก่อให้เกิดการแพ้บางประเภท และวางจำหน่ายถุงมือผ่าตัดเพิ่มเติมในไตรมาส 4 ปีนี้ ” นายวีรสิทธิ์ กล่าว

กรรมการผู้จัดการใหญ่และกรรมการบริหาร STA กล่าวต่อว่า แนวโน้มดีมานด์ในอุตสาหกรรมยางธรรมชาติครึ่งปีหลัง สำหรับความต้องการใช้สินค้าจากจีนยังคงต้องติดตามการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ปัญหาขาดแคลนชิปในอุตสาหกรรมยานยนต์และปริมาณซัพพลายในประเทศ ซึ่งจะมีผลต่อดีมานด์ยางเพื่อใช้ผลิตยางล้อและทิศทางราคายางธรรมชาติ

ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายปริมาณการขายยางธรรมชาติทุกประเภทในปีนี้ที่ 1.6 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 300,000 ตัน หรือกว่า 20% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งพร้อมเดินเครื่องจักรอย่างเต็มที่ นอกจากนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างขยายกำลังการผลิตน้ำยางข้นอีก 2 แห่ง ที่โรงงานนราธิวาสและโรงงานสุราษฎร์ธานี จะทยอยแล้วเสร็จในไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้ จะมีกำลังการผลิตน้ำยางข้นจากโรงงาน 2 แห่ง เพิ่มขึ้นอีก 131,400 ตันต่อปี ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเพิ่มยอดขายครึ่งปีหลังและในปีหน้า