หลังจากที่กระแสเทศกาลเพลงฮิปฮอประดับโลกอย่าง Rolling Loud ที่จัดแสดงขึ้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกาไปเมื่อไม่นานมานี้ ได้ประกาศและโพสต์บนบัญชีทวิตเตอร์หลักของโรลลิ่งลาวด์ “Rolling Loud Thailand See you 2023” ตามด้วยอิโมจิรูปธงชาติของประเทศไทยก็เรียกเสียงฮือฮาให้กับแฟนคลับชาวไทยเป็นอย่างมาก และถูกแชร์ไปกว่า 100,000 ครั้ง กับเทศกาลฮิปฮอปสุดยิ่งใหญ่นี้จะมาเยือนประเทศไทยในปีหน้าอย่างแน่นอน โดยล่าสุดทาง บริษัท มอร์รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE ได้มีการเคลื่อนไหวประกาศทุ่มเม็ดเงินกว่า 1,000 ล้านบาทเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์และจัดงาน Rolling Loud ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่ปี 2566 ถึงปี 2571 พร้อมสิทธ์ขาดในการจัดงานในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย
เทศกาลเพลงฮิปฮอป Rolling Loud มีแร็ปเปอร์ชื่อดังมากความสามารถหลายคนที่เคยร่วมแสดงบนเวทีนี้ อาทิ ทราวิส สก็อตต์, วิซ คาลิฟา, คานเย เวสต์, โพสต์ มาโลน และ เคนดริก ลามาร์ โดยคอนเสิร์ต Rolling Loud ถูกจัดขึ้นครั้งแรกในปี 2015 ณ รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐฯ ซึ่งได้กระแสการตอบรับที่ดีอย่างล้นหลาม จนได้ไปเยือนหลากหลายประเทศอย่าง สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ โปรตุเกส และสร้างปรากฏการณ์กับจำนวนผู้เข้าชมถึง 200,000 คนอีกด้วย ถือเป็นการการันตีแล้วว่าคอนเสิร์ตฮิปฮอปนี้ยังคงได้รับความนิยมเสมอมา และการนำเทศกาลดนตรี Rolling Loud มาจัดที่ประเทศไทยนั้น ถือว่าเป็นการจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในเอเชีย และรูปแบบการจัดงานเทียบเท่ากับเวทีแม่ที่ประเทศสหรัฐฯ โดยตั้งเป้าจำนวนผู้เข้าชมประมาณ 80,000 คน ร่วมด้วย 66 ศิลปินระดับโลกและเอเชีย ถือว่าเป็นก้าวแรกของการเริ่มเทศกาลดนตรีระดับโลกให้กับประเทศไทยและเอเชีย
ดร.อมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มอร์รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE กล่าวว่า “ผมเชื่อมั่นว่าการขยายธุรกิจสู่ตลาดเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จะสร้างผลประกอบการทางธุรกิจที่ดี โดยเฉพาะตลาดการท่องเที่ยวทั่วโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งรูปแบบการเดินทาง ที่เน้นเมืองท่องเที่ยวที่ได้สร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ครบรูปแบบและมีความคุ้มค่า มีคอนเทนต์ให้ได้แชร์ในโลกโซเชียลมีเดีย และกลุ่มนักท่องเที่ยวยุคใหม่ และกลุ่ม Digital Nomad ที่ทำงานที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้ผ่านเทคโนโลยี ที่มองหาเมืองท่องเที่ยวที่จะสามารถเติมเต็มไลฟ์สไตล์ พร้อมเจอเพื่อนใหม่ๆ และมองหาความสนุกกับเทศกาลดนตรีและการสังสรรค์กับเพื่อนในประเทศใหม่ๆ
ผมเล็งเห็นโอกาสจากสถานการณ์ปัจจุบันที่เราไม่สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ ประกอบกับประสบการณ์กว่ายี่สิบปีของผมด้านเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ และการท่องเที่ยว ผมจึงอยากใช้โอกาสนี้ผลักดันให้ประเทศไทยกลับมาเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวโดยใช้ Entertainment Content เป็นตัวเพิ่มมูลค่าให้กับการท่องเที่ยว พร้อมเปิดประเทศกับเทศกาลดนตรีระดับโลก ซึ่งถือเป็นที่แรกในเอเชีย ที่ตรงกับกลุ่มนักท่องเที่ยวแบบใหม่ที่ครองตลาดโลกมากที่สุดในตอนนี้ ผมทุ่มเทและศึกษามาเกือบ 3 ปี พบว่าเม็ดเงินการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นนั้นต้องมาจากขีดความสามารถในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากขึ้น และการเพิ่มสีสันการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ จะต้องเปิดประเทศด้วยกระแสของความตื่นตัว และที่สุดของโลกโซเชียลในตอนนี้ซึ่งก็คือ เทศกาลดนตรีระดับโลก ที่คนทั่วโลกโหยหา อีกทั้งวัฒนธรรมของประเทศไทยที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่เดียวในโลก ผมเลยให้ทีมงานช่วยติดต่อกับทาง Rolling Loud ที่เป็นงานเทศกาลดนตรีแนวแพลงฮิปฮอป ซึ่งยังไม่เคยมาจัดที่เอเชีย อีกทั้งวัฒนธรรมของศิลปินและแนวฮิปฮอป ถือว่ามีอิทธิพลที่สุดทั้งในด้านดนตรี ด้านแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ และเพลงฮิปฮอปสามารถครองตลาดเพลงเป็นอันดับ 1 ทั่วโลกยาวนานที่สุด และที่สำคัญยังไม่มีเทศกาล World Hip Hop Music Festival ในเอเซียเลย และทุกคนคิดถึงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งถือว่าเป็นเทศกาลที่คนทั่วโลกเดินทางมาท่องเที่ยวร่วมสัมผัสกับประสบการณ์การสาดน้ำและความเป็นไทย จึงเป็นที่มาของการจัดงาน Rolling Loud Thailand ที่จะเป็นเทศกาลดนตรีฮิปฮอปสุดยิ่งใหญ่ระดับโลกที่ทุกคนจะได้ชุ่มฉ่ำไปกับประสบการณ์การเล่นน้ำแบบสงกรานต์ ที่จะช่วยปลุกกระแสและผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น “World Music Destination” ที่นักท่องเที่ยวต้องนึกถึง ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทยได้เป็นจำนวนมาก ตอบโจทย์การท่องเที่ยวของไทยให้กลายเป็น MICE HUB ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งทางเราก็จะนำ World Music Content เข้ามาเสริมทัพเพื่อทำให้บริษัทฯ แข็งแกร่งมากขึ้น”
โดย Rolling Loud Thailand จะมาในรูปแบบเต็ม Festival ประกอบด้วย 2 เวทีใหญ่ ร่วมด้วย 66 ศิลปินระดับโลก จากประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และเอเชีย โดยเราคาดการณ์จำนวนคนร่วมงานอยู่ที่ 80,000 คน แบ่งเป็นชาวไทย 40% และชาวต่างชาติ 60% ซึ่งจะสร้างรายได้การจับจ่ายให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม และการขนส่งเดินทาง จะเกิดการจองห้องพักมากกว่า 30,000 ห้อง และการกลับมาผงาดของการท่องเที่ยวไทยกับการปั้นเมืองไทยให้เป็น Lifestyle & Entertain Destination ที่จะกลายเป็นหัวใจหลักในการร่วมสร้างรายได้ สร้างมูลค่าการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน